วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

บางที ยิ่งเซ็ง ก็ ยิ่งซวยนะ ...ขอบอก


ช่วงนี้เห็นรังสีความเบื่อหน่ายฉาบหน้า เห็นความเซ็งทะลักล้นผ่านแววตา ของผู้คนเยอะมาก จากการสนทนาได้บทสรุปว่า
ปัจจัยหนึ่งมากจากการเงินง่อนแง่น ซึ่งก็ต่อยอดมาจากการงานที่เงอะๆงะๆ ด้วยขาดทุนหมุนเวียน และทุกคนก็ฟันธงตรงกันว่า มันมาจากการเมือง "ฉันเบื่อการเมือง" ๆๆๆๆๆ จึงเป็นคำที่หลายคนระเบิด ระบายออกปากมากเหลือเกิน

ก็ได้แต่ต้องบอกพี่น้องว่า..
.ยิ่งเบื่อ ก็ยิ่งบ่น ยิ่งบ่น คนก็ยิ่งน่าเบื่อ ยิ่งเซ็ง ก็ยิ่งซวย ยิ่งซวย คนก็ยิ่งเซ็ง
ความเบื่อความเซ็งนั้นไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น และจะไม่ซวยได้อย่างไร ในขณะใจเซ็งอยู่ สติ ปัญญา ไม่ทำงาน อารมณ์ชาด้าน และพร้อมจะหงุดหงิดงี่เง่าเอาได้ง่ายๆ
 คิดดูเองก็แล้วกันว่า คนผู้หนึ่ง หากพูดหรือกระทำ หรือสัมผัสสัมพันธ์กับใครอยู่ แต่ปราศจาก สติ ปัญญา มีอารมณ์เอาแน่ไม่ได้นำหน้า จะเรตติ้งตกขนาดไหน จะโง่เง่า งุ่นง่าน ไร้การประมาณความเหมาะสมขนาดไหน ...แล้วอย่างนี้จะไม่ซวยได้อย่างไร?

โดยจริง เซ็ง...นั้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากการเมืองที่ยังไม่จบ หรือการงานอืดอาด การเงินอ่อยเอื่อย...ไม่ใช่ นั่นเป็นเพียงปัจจัย แต่มาจากจิต จิตที่ซังกะตาย ไม่อยากทำความเข้าใจกับเรื่องที่รับรู้ ที่เจออยู่ และซังกะตายนี้ ก็มาจาก ความถดถอยท้อแท้ หรือจิตหดกลับ จากเรื่องที่เจอ คือเพียงเจอ ก็ปฏิเสธ ไม่เอา ไม่เกี่ยว ไม่ยุ่ง ไม่ชอบๆๆ คนเราเมื่อจิตหดหรือถดถอยมากๆ ก็ซังกะตาย จากนั้นก็เซ็ง หากเซ็งมากๆก็ซึม และเศร้าโศกสืบต่อไป

รู้เถอะ...โศก เศร้า ซึม เซ็ง ซังกะตาย ถดถอยท้อแท้ เหล่านี้มีแต่จะเรียกร้องความซวยมาสู่ โดยราก มันมาจาก อรติสะสม สะสมความไม่ยินดีใส่จิตทีละนิดทีละน้อย ยามกระทบพบเจอเรื่องต่างๆ และอาการเช่นนี้หากปล่อยไว้นาน ไม่บ้าก็ฆ่าตัวตาย ซึ่งจากงานวิจัยสาเหตุการฆ่าตัวตายเมื่อสองปีก่อน ก็ยืนยันว่า โรคซึมเศร้า เป็นสาเหตุอันดับท๊อป ...
ยืนยันกับพี่น้องว่า ยาเม็ด ยาดื่ม ยาทาแก้ปัญหาซึมเศร้าไม่ได้...

พระพุทธองค์ตรัสสอนพวกเราชาวพุทธว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ เราตถาคตสอนให้รู้เหตุและละเหตุแห่งธรรมนั้น
ดังนั้น...หากจะปลิดทิ้งความซึมเศร้า หรือบอกลาความเบื่อ ความเซ็ง ก็ต้องละอาการไม่ยินดี เมื่อกระทบพบเจอกับเรื่องต่างๆ ซึ่งตรงนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป หากใจยอมรับ การรู้ตามจริง ยิ่งกว่าการหลงตามใจ หรือหมายให้ใดๆเป็นไปดั่งใจตน

มีหลายคนบ่นว่า

ทำไมคนไทยไม่สามัคคีๆ และก็พร่ำหาสามัคคีจากคนเหล่าอื่น เหมือนนางกวักเรียกหาลูกค้าตามตลาดสดปานนั้น เช่นนี้ยืนยันเลยว่า 
จะมีเรื่องให้เบื่อ เซ็ง ซึม เศร้า กับสถานการณ์สังคมไปอีกนาน เพราะมันเป็นความปรารถนาที่ผิดสัจจะ
โดยสัจจะ... แตกแยกในโลกเป็นเรื่องธรรมดา สามัคคีทั่วหล้า เป็นอุดมคติ


หากยอมรับความจริงนี้ จะไม่แปลกใจกับการแตกแยกเป็นมุมเหลือง มุมแดง จะเห็นว่าถูกแล้ว อย่างนี้แหละ...โลก

อีกอย่าง...ธรรมดาโลกมีสองฝั่ง คือ

อิฐารมณ์(เรื่องชวนอารมณ์ดี) กับ อนิฏฐารมณ์(เรื่องชวนอารมณ์เสีย) หรือมีรวย มีจน มีคนยกให้ มีคนขับไล่ มีคนสรรเสริญ มีคนส่อเสียด มีสุขสม มีทุกข์โศก เป็นโลกธรรม หรือธรรมคู่โลก ฉะนั้นหากเจอใครหรือแม้ตน จะรวย หรือจน จะมีคนยกไว้ให้ค่า หรือมีคนขับไล่ไม่ชอบใจ มีคนนินทาหมั่นไส้ มีคนสรรเสริญเอาใจ แม้สุข หรือทุกข์จะเกิดดับสลับกันไปในชีวิต ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่โลกต้องมีอย่างนี้ ไม่เคยมีใครเปี่ยมสุขเต็มสิบ สุขเสมอต้นเสมอปลาย ... ไม่มี
การเข้าใจ ยอมรับ...ธรรมคู่โลกเหล่านี้ ทำให้จิตไม่ดิ้น ไม่ซังกะตาย ไม่ตีโพยโวยวาย ร้องให้เหมือนเด็กต๊องสูญเสียตุ๊กตา เมื่อเจอ อนิฏฐารมย์ และไม่เริงรื่นครึกครื้นเกินการณ์ เหมือนจิ๊กโก๋เห็นกลอง 
เมื่อเจอ อิฏฐารมย์
ยิ่งเข้าใจว่า ทั้งเรา ทั้งโลก ทุกเรื่อง ล้วนขึ้นตรงต่อกฏไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
สมใจ เสียใจ อันใดเกิดมาก็ไม่เที่ยง และทุกข์ก็เป็นเรื่องจริงแท้


แม้พระพุทธองค์ ก็ยืนยันว่า

ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไร...ดังนั้นหากบอกว่าโลกนี้เป็นลานทุกข์ระทม ชีวิตที่จมอยู่กับโลก จะต้องเจอทุกข์...ก็ถูกแล้ว เพียงเข้าใจว่า ถูกแล้ว ธรรมดาเป็นอย่างนี้ เบื่อ เซ็งจะหายไปทันที และใดๆล้วนเป็นอนัตตา คือไม่เป็นตน แม้ตนก็ยังไม่ใช่ตน นอกจากใจหลงสำคัญมั่นหมายว่าตนเป็นไปต่างๆนาๆ ความรู้สึกว่า เราเป็นอัตตาจึงมีอยู่... ไตรลักษณ์เหล่านี้ หากผู้ใดเรียนรู้ด้วยสติ กระทั่งใจสัมผัสชัด เซ็งจะคลาย เบื่อจะหายเป็นปลิดทิ้ง

มีอยู่...บางคน เหนื่อยหน่ายในการงาน ในการหาเลี้ยงครอบครัว แล้วก็เซ็งๆๆๆ บอกพี่น้อง ในการงานการหาเลี้ยงชีวิต หากไม่ทำกิจด้วยจำนน ไม่ตระหนักว่าเป็นหน้าที่ แต่ด้วยเจตนาบำเพ็ญบารมี... เบื่อเซ็งไม่เกิด ด้วยรู้สึกว่าเราได้...ได้สะสมบุญสะสมบารมี
คนที่ทำกิจด้วยจำนน เป็นคนไม่หาญกล้า ไม่มีสติปัญญา เพียงกล้า และขยับ จะเห็นทางที่ไม่ต้องจำนน

คนที่ทำกิจด้วยตระหนักว่าเป็นหน้าที่ ส่วนหนึ่งของใจมักรอคอย เมื่อไรหนอฉันจะหมดหน้าที่ซะที อย่างนี้พลังไม่เต็มร้อย ฉันทะไม่เต็มที่ สุขไม่มี


คนที่ทำกิจด้วยเจตนาสะสมบารมี ...ทำไปใจก็เบา เมื่อได้ทรัพย์มาแม้ต้องให้ครอบครัว ก็เข้าใจใหม่ว่า นั่นคือการบำเพ็ญทานบารมี เมื่ออยู่ร่วมแล้วไม่ราบรื่น นั่นก็เป็นที่ตั้งของการบำเพ็ญขันติบารมี วิริยะบารมี เมตตาบารมี ปัญญาบารมี อาศัยครอบครัวนี่แหละเป็นที่สะสมบุญ เพียงรู้สึกว่าได้ทำบุญ เบื่อก็จะหาย เซ็งซังกะตาย ก็จะลาจาก เพราะสารสุขไล่ส่ง
บอกพี่น้อง...อารมณ์ไม่เบื่อหน่าย ซึมเซ็ง ร่างกายไม่เป็นมะเร็งได้ง่ายๆ ทำอารมณ์ให้สบาย ทำตัวให้ดี ไม่มีความรู้สึกเป็นลบเป็นร้าย...อยู่สุข อยู่สบาย...แน่นอน 

ที่มา : Roidaoดอทคอม
จาก dhammathai

● ไม่กล้า ... ไม่มีวันเดินหน้า ●


คุณเคยคิดไหมว่า คำบางคำสามารถจะเป็นแรงผลักดัน ทำให้คนเราเกิดกำลังใจที่จะฮึดสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ ที่หนักหนาและฝ่าฟันจนผ่านพ้นไปได้

วันหนึ่งที่เกิดความรู้สึกสับสนขึ้นในตัวเอง จากปัญหาและอุปสรรคจนทำให้เราท้อและคิดจะหนี เพราะความกลัวจึงทำให้เกิดความไม่มั่นใจ และไม่คิดที่จะสู้กับปัญหานั้น

คุณเชื่อไหมว่าเพียงคำหนึ่งคำจากแผ่นป้ายโฆษณา "ไม่กล้า...ไม่มีวันเดินหน้า" สามารถทำให้คนคนหนึ่งที่กำลังมีความท้อแท้ สับสน มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคนั้น เพราะคำคำนั้นทำให้กลับมาคิดถึงโอกาสดี ๆ ที่น้อยคนนักจะมีสิทธิ์ได้รับ แต่ทำไมเรากลับท้อแท้ทั้งที่ยังไม่ได้ต่อสู้กับปัญหาอย่างเต็มที่ ก่อนที่คิดจะยอมแพ้

มีคนหลายคนอยากให้ตัวเองได้รับโอกาสดี ๆ ในการที่จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่มีอยู่ แต่เราเองที่มีโอกาสแล้ว ทำไมกลับไม่คว้ามันไว้ กำลังใจและแรงผลักดันต่าง ๆ ที่คนเราต้องการบางครั้งอาจจะไม่จำเป็นจะต้องเป็นคำที่งดงามสวยหรู คติสอนใจในการดำเนินชีวิตสามารถเกิดขึ้นได้ในทุก ๆ ที่

ประโยชน์ของมะเฟือง

ใช้เป็นเครื่องเคียงอาหารรับประทานสดๆ และแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ คุณค่าทางอาหารของมะเฟืองอุดมไปด้วย วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอะซีน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมันเส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็กและพลังงาน
ผลมะเฟือง : ให้วิตามินเอ และวิตามินซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม

ใบและราก : ปรุงรับประทานเป็นยาดับพิษร้อน แก้ไข้ ใช้ใบต้มน้ำอาบแก้ตุ่มคัน

ผล : ใช้เป็นยาขับเสมหะ ขับปัสสาวะ ใช้สระบำรุงเส้นผม และขจัดรังแค

ยอด : มะเฟือง+รากมะพร้าว ต้มผสม แก้ไข้หวัดใหญ่ 

แก่นและราก : ต้ม กินแก้ท้องร่วง แก้เจ็บเส้นเอ็น

ในมะเฟืองหนึ่งผลนั้น สามารถที่จะช่วยเสริมสร้างกระดูก และฟันให้แข็งแรง ควบคุมการเต้นของหัวใจให้สม่ำเสมอ ควบคุมกล้ามเนื้อ ช่วยให้เลือดแข็งตัวง่าย กล่อมประสาท ช่วยระงับความฟุ้งซ่าน จึงช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น ในผู้ที่มีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับ ส่วนน้ำมะเฟืองคั้นนั้น ตำรายาโบราณกล่าวว่า มีสรรพคุณในการแก้ร้อนในดับกระหาย ลดความร้อนภายในร่างกาย ถอนพิษไข้ก็ได้ เป็นยาขับเสมหะป้องกันโรคโลหิตจาง โรคเลือดออกตามไรฟัน รวมทั้งยังช่วยขับปัสสาวะ และบรรเทาอาการนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้อีกด้วย

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

เติมชีวิต..ด้วยรัก..

หลายครั้งหลายหนที่เราเจ็บปวดเพราะรัก...เพราะรักเป็นทุกข์นั้นหรือ...

หากมองให้ดี ๆ รักอาจจะไม่เป็นตัวกำหนดทุกข์นั้นได้..

แต่เป็นการคาดหวังจากฝ่ายหนึ่งมากกว่า...ลองย้อนถามตัวเองซิว่า

"ทุก ๆ ครั้งที่เราร้องไห้ เราผิดหวัง เป็นเพราะเรารักเขาหรือเป็นเพราะว่า

เขาไม่รักเรามากอย่างที่เราต้องการกันแน่"

ความรักไม่เคยทำร้ายใคร... แต่เป็นความคาดหวังจากความรักนั้นมากเกินไป...

ความรักที่เราคาดหวังมากจะย้อนกลับมาทำร้ายเราทุกครั้งที่เราคาดหวังสูงเกินไป..

ไม่มีใครในโลกที่สามารถเป็นอย่างเจ้าชาย...เจ้าหญิงในฝันของเราได้...

การเรียกร้องจากอีกฝ่ายรังแต่จะทำให้เจ็บปวดกันทั้งคู่...

เมื่อใดที่รู้สึกท้อแท้หรือหมดกำลังใจ...จากการร้องหาความรักจากผู้อื่น ...

ลองมองย้อนกลับมาที่ตัวเราเอง...

แล้วลองสร้างความรักให้เกิดขึ้นภายในของตัวเองดูบ้าง...

ไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายได้รับอยู่ตลอดเวลา ...

ความรักภายในตัวของตัวเอง...ไม่ต้องใช้เงินใช้ทองซื้อมา...

หากแต่ก่อขึ้นมาง่าย ๆ ...และมีล้นเหลือมากพอที่จะแบ่งปันให้ผู้อื่น...

โดยไม่จำเป็นต้องคาดหวังจะได้สิ่งตอบแทนมา ...

เมื่อใดที่รักใครสักคน...ลองให้ความรักแก่เขาเท่าที่เราจะทำได้...

โดยไม่ต้องคาดหวังถึงสิ่งที่จะได้รับกลับมา

ไม่จำเป็นเลยที่เรียกร้องให้เขารักเราตราบเท่าเทียมที่เรารักเขา...

เพียงแค่แบ่งปันรักในใจเท่านั้น...

เราก็จะสัมผัสจากคำว่าความสุขจากความรัก...จากการให้อย่างแท้จริง

นอกจากนี้เราจะสามารถควบคุมความสุขของตัวเองให้อยู่ในมือของตัวเองได้...

ไม่จำเป็นต้องให้ความสุขของเราอยู่ในมือของคนอื่นที่แล้ว ๆ มา...

เพราะเขาเองเป็นบ่อเกิดของความรัก...

เป็นคนให้มิได้เป็นฝ่ายรับ..

และยิ่งให้มากเท่าไร...เราก็ยิ่งได้ความรักกลับคืนมากเท่านั้น...

เมื่อเราบริสุทธิ์ใจที่จะให้รักกับใครก็ตาม...อีกฝ่ายก็จะรู้สึกสบายใจที่จะให้รักแก่เรา...

โดยไม่ต้องคำนึงว่าเราต้องการอะไรตอบแทนจากเขากันแน่...

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด...คือ...

ความรักและการให้เป็นบ่อเกิดของความสุขได้ด้วยตัวของมันเอง ...

ไม่จำเป็นต้องใช้ใครก็ตามเป็นคนสร้างความสุขให้เราอีกแล้ว...

เพราะทั้งความรักและความสุขทั้งหมด...มันอยู่ที่เรานั่นเอง...


คนกับสัตว์ มองเห็นต่างกันอย่างไร ?

เริ่มกันที่ดวงตาดวงแรกของโลกก่อน เกิดเมื่อประมาณ 540 ล้านปีที่แล้ว ในกลุ่มสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า

ดวงตาแบบแรกของโลก สามารถรับรู้ได้เพียงความสว่างและความมืดเท่านั้น ซึ่งตาแบบ "อาย สปอต" (eye spot) ของพานาเลีย ก็จัดว่าเป็นแบบเดียวกับตาดวงแรกของโลก ตาแบบ "อาย สปอต" ในยุคเริ่มแรกเริ่มมีลักษณะเป็นแบบแผ่น และค่อยๆ วิวัฒนาการไปเป็นแบบถ้วย ต่อมาจึงมีการพัฒนาเลนส์ตาขึ้น เพื่อให้รับภาพได้สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนกลายเป็นรูปแบบของดวงตาที่มองเห็นภาพและสีสันได้ชัดเจนอย่างในปัจจุบัน

ทีนี้ลองมาดูดวงตาของสัตว์ต่างๆ บ้าง ว่ามีลักษณะพิเศษ แตกต่างกันอย่างไรบ้าง

ดวงตางู

ดวงตางูเป็นดวงตาไร้เปลือก จึงหลับตาไม่ได้ ซึ่งดวงตาที่เปิดกว้างอยู่ตลอดเวลาของงูนั้นมีเกล็ดใสครอบอยู่เพื่อปกป้องดวงตาเวลาที่เลื้อยลงไปใต้ดิน ขณะที่งูจำพวกงูเขียวหางไหม้ และงูเหลือม มีโครงสร้างรับสัมผัสที่เรียกว่า พิต ออร์แกน (Pit organ) อยู่ระหว่างดวงตากับจมูกช่วยเสริมการมองเห็น โดยรับสัมผัสคลื่นความร้อนจากตัวเหยื่อ ทำให้งู เชื่อมโยงการมองเห็นภาพด้วยดวงตา และความร้อนเข้าด้วยกัน จึงล่าเหยื่อได้ดีแม้ในยามกลางคืน

ตาแมงมุม

เป็นสัตว์ที่มีตาเยอะมาก แมงมุมกระโดดมีตาทั้งหมด 8 ดวง เพื่อช่วยในการล่าเหยื่อได้อย่างดีเยี่ยม ตารองด้านข้างและด้านบนของหัวช่วยหาตำแหน่งของเหยื่อได้ไวแม้ให้ภาพไม่ชัดเจนนัก เมื่อพบตำแหน่งเหยื่อแล้วจะใช้ตาหลักที่อยู่ด้านหน้าแยกแยะรายละเอียดเพื่อระบุตำแหน่งที่แน่ชัดอีกครั้งก่อนจู่โจม โดยมีตารองอีกชุดที่อยู่ใกล้กับตาหลักช่วยกะระยะได้อย่างแม่นยำ โห จะแม่นไปไหมเนี่ย

ตานกแสก, นกเค้าแมว

มีดวงตา กระจกตา และรูม่านตาขนาดใหญ่ มีเซลล์รับแสงจำนวนมาก เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นได้ดีในที่มืด จึงรับรู้ได้ไวต่อการเคลื่อนไหวแต่ไม่ไหวต่อสี
ตาของนก
นกเกือบทุกชนิดมีหนังตาแผ่นที่ 3 ที่เป็นเยื่อบางๆ คลุมดวงตาของนกไว้ ซึ่งคอยทำความสะอาดดวงตา และปกป้องดวงตาจากลมและแสงแดดในขณะบินโต้ลมแรง ส่วนนกที่ต้องดำน้ำหาอาหาร หนังตานี้จะช่วยกันน้ำได้ หนังตาพิเศษนี้จึงเปรียบเสมือนแว่นกันแดด แว่นกันลมและแว่นตาดำน้ำของนกเลยล่ะ

ตาวาฬและโลมา

จะมีเยื่อหุ้มตาขาวหนา และมีกระจกตาหนา มีกล้ามเนื้อตามาก ช่วยปกป้องดวงตาเมื่ออยู่ใต้น้ำและน้ำเย็น เลนส์ตาเป็นทรงกลม ทำให้มองเห็นภาพใต้น้ำลึกที่มีแสงน้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หมึกยักษ์

นอกจากความฉลาดแล้ว ยังมีดวงตาที่ดีอีกต่างหาก หมึกยักษ์เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่มีดวงตาพัฒนาสูงสุดในกลุ่มสัตว์น้ำ แต่ใกล้เคียงกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยในทะเล มีปมประสาทตาขนาดใหญ่ ดวงตาไวต่อแสงมากกว่ามนุษย์ 5 เท่า มองเห็นได้ดีในที่มืดอย่างใต้ทะเลลึกที่แสงอาทิตย์ส่องลงไปไม่ถึง และสามารถปรับโฟกัสของดวงตาได้


แมลงปอ

ดวงตาในดวงตาดวงตาของแมลงปอ มีขนาดใหญ่มากถึง 2 ใน 3 ของส่วนหัว เป็นตารวม 1 คู่ ประกอบด้วยเลนส์รูปหกเหลี่ยมขนาดเล็กจำนนหลายพันเลนส์เรียงต่อกันคล้ายรังผึ้ง คล้ายกับมีดวงตาขนาดเล็กจำนวนมากมารวมกันเป็นตาใหญ่ดวงเดียว แมลงปอจึงมองเป็นภาพจากเลนส์แต่ละส่วนมาประกอบเป็นภาพเดียวกัน คล้ายภาพจิ๊กซอหรือภาพโมเสก


เหยี่ยว

สัตว์ที่ขึ้นชื่อว่า สายตาเฉียบคมมาก เหยี่ยวมีดวงตาขนาดใหญ่ที่ค่อนไปทางด้านหน้าของศีรษะ มองเห็นภาพได้ในมุมกว้าง มุมมองตรงกลางจะถูกขยายออกเพื่อมองเห็นเหยื่อได้ในระยะไกลเหมือนกับมองด้วยกล้องส่องทางไกล
เห็นภาพแบบ 3 มิติ ที่มีความคมชัดทั้งภาพและสีสัน


จากเด็กดีดอทคอม

ทำไมเค้กวันเกิดต้องมีเทียนปัก

จากการค้นหาข้อมูลของเราพบว่า เทียนที่ปักอยู่บนเค้กวันเกิดมีที่มาและความเชื่อต่างกันตามแต่ยุคสมัย ดังนี้

ตามตำนานของชาวกรีกโบราณเชื่อกันว่า เทียนที่ปักอยู่บนเค้กวันเกิดซึ่งไว้สำหรับบูชาเทพีจันทรา ณ วิหารอาร์เทอมิสนั้นก็เพื่อทำให้เค้กนั้นมีลักษณะเหมือนดวงจันทร์นั่นเอง กล่าวคือ ชาวกรีกต้องการใช้แสงสว่างจากเทียนไขสีเหลืองนวลให้ทอแสงประกายไปทั่วตัวเค้กที่เป็นวงกลม เพื่อให้เค้กนั้นมีลักษณะเหมือนดวงจันทร์ จะได้เข้ากับพิธีบูชาเทพีจันทรา

ทว่า สำหรับชาวเยอรมันในอดีตเชื่อว่า เทียนที่ปักอยู่บนเค้กวันเกิดถือเป็นสื่อสัญลักษณ์แทน "แสงแห่งชีวิต" โดยพวกเขาจะปักเทียนขนาดใหญ่เอาไว้ตรงกลางเค้กให้สุกสว่างโชติช่วงเปรียบเสมือนเป็นแสงเทียนแห่งชีวิต

สำหรับผู้เชี่ยวชาญบางสำนักระบุว่า ธรรมเนียมการปักเทียนบนเค้กวันเกิดอาจจะเกิดขึ้นเพราะความเชื่อของชาวคริสต์ที่ว่า พระเจ้าอาศัยอยู่บนท้องฟ้า และเพื่อที่ว่าพวกเขาจะสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ก็ต้องอาศัยแสงและควันจากเปลวเทียน ด้วยเหตุนี้ จึงมีการปักเทียนบนเค้กวันเกิดเพื่อให้พระเจ้าทรงรับรู้ในคำสวดและคำอธิฐานของเจ้าของวันเกิด

ไม่ว่าที่มาของเทียนวันเกิดจะเกิดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ตามแต่ธรรมเนียมปฏิบัติดังกล่าวก็ได้ถูกสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังมีความเชื่อใหม่เกิดขึ้นตามมาเรื่อยๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น มีความเชื่อว่าจะต้องปักเทียนให้เท่ากับจำนวนอายุของเจ้าของวันเกิด และหากว่าเจ้าของวันเกิดสามารถเป่าเทียนดับทั้งหมดภายในหนึ่งอึดใจ แสดงว่าเขาจะโชคดีตลอดปี หรือหมายความว่า คำอธิฐานของเขาจะกลายเป็นจริง ในทางกลับกัน หากไม่สามารถเป่าให้ดับได้ทั้งหมด ก็แสดงว่าคำอธิฐานของเขาจะไม่เกิดขึ้น เป็นต้น

ทำไม1วันต้องมี24ชั่วโมง

7ปฏิทินเกิดขึ้นมาจากการที่นักวิทยาศาสตร์สังเกต และบันทึกการเปลี่ยนแปลง การขึ้น-ลงของดวงจันทร์ ซึ่งเป็นเครื่องหมายของการผ่านพ้นไปในแต่ละวัน และกลายเป็นเดือน เป็นปี

ปฏิทินในยุคแรก ใน 1 เดือน จะมี 29-30 วัน และในช่วง 1 เดือนนั้น ดวงจันทร์มีการเปลี่ยนแปลงจากข้างขึ้นไปเป็นข้างแรม 1 รอบ เมื่อการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดครบ 12 รอบ จึงเกิดเป็น 12 เดือนใน 1 ปี แต่ในช่วง 1 ปีของปฏิทินที่เทียบจากการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์จะสั้นกว่าที่เป็นจริง
ชาวอียิปต์จึงสร้างปฏิทินขึ้นใหม่โดยอาศัยการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์แทน ซึ่งจะได้ปฏิทินใหม่ที่มี 30-31 วัน ใน 1 เดือน และมี 365 วัน หรือ 12 เดือนใน 1 ปี


เมื่อมนุษย์เริ่มมีวิวัฒนาการมากขึ้น มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ต่างๆ มนุษย์จึงเริ่มมีการทำกิจกรรมมากขึ้นในแต่ละวัน สิ่งที่ตามมาก็คือความต้องการในการกำหนดเวลา เพื่อให้มีบทบาทในการกำหนดขอบเขตในการทำกิจกรรมของมนุษย์ในเรื่องต่างๆ เช่น การศึกษา การทำงาน การเล่นกีฬา เป็นต้น มนุษย์ใช้การสังเกตเงาจากดวงอาทิตย์ที่ทาบลงวัตถุบนพื้นโลกใน 1 วัน จึงเกิดการนับช่วงเวลาเป็น ชั่วโมง นาที และวินาทีขึ้น


แล้วทำไมถึงต้องมีวันที่ 29 กุมภาพันธ์ เป็นวันพิเศษอีก 1 วัน ซึ่งจะเวียนมาในทุกๆ 4 ปี ทำให้ในปีนั้นมี 366 วันเกิดขึ้น นั่นเป็นเพราะว่าจริงๆ แล้วโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบใช้เวลา 365 วันกับอีก 5 ชั่วโมง 48 นาที และ 45 วินาที เมื่อนำเวลาที่เกินมาในแต่ละปีนั้นมารวมเข้าด้วยกันในทุกรอบ 4 ปี ก็จะได้วันเพิ่มขึ้นมาอีก 1 วัน จึงเกิดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ขึ้น

การกำหนดให้ในช่วงรอบ 4 ปี โดยที่ 3 ปีมี 365 วัน และอีก 1 ปีมี 366 วัน ทำให้ปฏิทินที่ได้มีความถูกต้องแม่นยำขึ้น


1 วัน มีกี่ชั่วโมงนั้นก็เพราะกำหนดจากระยะเวลาการหมุนของโลกรอบตัวเอง ส่วนหนึ่งปีมีกี่วันนั้นก็คิดมาจากระยะเวลาที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่ใครเป็นผู้กำหนดวันเวลานั้นไม่สามารถระบุชี้ชัดลงไปได้ ทั้งนี้ เพราะเวลานั้นเกิดจากการพัฒนาและเรียนรู้ของมนุษย์มานานหลายพันปี


มนุษย์สมัยโบราณเรียนรู้และกำหนดเวลาจากวงรอบทางดาราศาสตร์ โดย "วัน" มาจากการหมุนของโลกรอบแกนใน 24 ชั่วโมง (ปัจจุบันโลกหมุนรอบตัวเองใช้เวลา 23.56. 1 ชั่วโมง) "เดือน" มาจากการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์รอบโลก ซึ่งเมื่อนับวันเทียบกับการโคจรของดวงอาทิตย์ก็พบว่าจันทร์เต็มดวงจะเวียนมาครบรอบใหม่ทุกๆ 29 .5 วัน ส่วนปีก็คือเวลาที่โลกใช้โคจรรอบดวงอาทิตย์ (365.242199 วัน)


ที่มาicphysics