วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

บางที ยิ่งเซ็ง ก็ ยิ่งซวยนะ ...ขอบอก


ช่วงนี้เห็นรังสีความเบื่อหน่ายฉาบหน้า เห็นความเซ็งทะลักล้นผ่านแววตา ของผู้คนเยอะมาก จากการสนทนาได้บทสรุปว่า
ปัจจัยหนึ่งมากจากการเงินง่อนแง่น ซึ่งก็ต่อยอดมาจากการงานที่เงอะๆงะๆ ด้วยขาดทุนหมุนเวียน และทุกคนก็ฟันธงตรงกันว่า มันมาจากการเมือง "ฉันเบื่อการเมือง" ๆๆๆๆๆ จึงเป็นคำที่หลายคนระเบิด ระบายออกปากมากเหลือเกิน

ก็ได้แต่ต้องบอกพี่น้องว่า..
.ยิ่งเบื่อ ก็ยิ่งบ่น ยิ่งบ่น คนก็ยิ่งน่าเบื่อ ยิ่งเซ็ง ก็ยิ่งซวย ยิ่งซวย คนก็ยิ่งเซ็ง
ความเบื่อความเซ็งนั้นไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น และจะไม่ซวยได้อย่างไร ในขณะใจเซ็งอยู่ สติ ปัญญา ไม่ทำงาน อารมณ์ชาด้าน และพร้อมจะหงุดหงิดงี่เง่าเอาได้ง่ายๆ
 คิดดูเองก็แล้วกันว่า คนผู้หนึ่ง หากพูดหรือกระทำ หรือสัมผัสสัมพันธ์กับใครอยู่ แต่ปราศจาก สติ ปัญญา มีอารมณ์เอาแน่ไม่ได้นำหน้า จะเรตติ้งตกขนาดไหน จะโง่เง่า งุ่นง่าน ไร้การประมาณความเหมาะสมขนาดไหน ...แล้วอย่างนี้จะไม่ซวยได้อย่างไร?

โดยจริง เซ็ง...นั้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากการเมืองที่ยังไม่จบ หรือการงานอืดอาด การเงินอ่อยเอื่อย...ไม่ใช่ นั่นเป็นเพียงปัจจัย แต่มาจากจิต จิตที่ซังกะตาย ไม่อยากทำความเข้าใจกับเรื่องที่รับรู้ ที่เจออยู่ และซังกะตายนี้ ก็มาจาก ความถดถอยท้อแท้ หรือจิตหดกลับ จากเรื่องที่เจอ คือเพียงเจอ ก็ปฏิเสธ ไม่เอา ไม่เกี่ยว ไม่ยุ่ง ไม่ชอบๆๆ คนเราเมื่อจิตหดหรือถดถอยมากๆ ก็ซังกะตาย จากนั้นก็เซ็ง หากเซ็งมากๆก็ซึม และเศร้าโศกสืบต่อไป

รู้เถอะ...โศก เศร้า ซึม เซ็ง ซังกะตาย ถดถอยท้อแท้ เหล่านี้มีแต่จะเรียกร้องความซวยมาสู่ โดยราก มันมาจาก อรติสะสม สะสมความไม่ยินดีใส่จิตทีละนิดทีละน้อย ยามกระทบพบเจอเรื่องต่างๆ และอาการเช่นนี้หากปล่อยไว้นาน ไม่บ้าก็ฆ่าตัวตาย ซึ่งจากงานวิจัยสาเหตุการฆ่าตัวตายเมื่อสองปีก่อน ก็ยืนยันว่า โรคซึมเศร้า เป็นสาเหตุอันดับท๊อป ...
ยืนยันกับพี่น้องว่า ยาเม็ด ยาดื่ม ยาทาแก้ปัญหาซึมเศร้าไม่ได้...

พระพุทธองค์ตรัสสอนพวกเราชาวพุทธว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ เราตถาคตสอนให้รู้เหตุและละเหตุแห่งธรรมนั้น
ดังนั้น...หากจะปลิดทิ้งความซึมเศร้า หรือบอกลาความเบื่อ ความเซ็ง ก็ต้องละอาการไม่ยินดี เมื่อกระทบพบเจอกับเรื่องต่างๆ ซึ่งตรงนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป หากใจยอมรับ การรู้ตามจริง ยิ่งกว่าการหลงตามใจ หรือหมายให้ใดๆเป็นไปดั่งใจตน

มีหลายคนบ่นว่า

ทำไมคนไทยไม่สามัคคีๆ และก็พร่ำหาสามัคคีจากคนเหล่าอื่น เหมือนนางกวักเรียกหาลูกค้าตามตลาดสดปานนั้น เช่นนี้ยืนยันเลยว่า 
จะมีเรื่องให้เบื่อ เซ็ง ซึม เศร้า กับสถานการณ์สังคมไปอีกนาน เพราะมันเป็นความปรารถนาที่ผิดสัจจะ
โดยสัจจะ... แตกแยกในโลกเป็นเรื่องธรรมดา สามัคคีทั่วหล้า เป็นอุดมคติ


หากยอมรับความจริงนี้ จะไม่แปลกใจกับการแตกแยกเป็นมุมเหลือง มุมแดง จะเห็นว่าถูกแล้ว อย่างนี้แหละ...โลก

อีกอย่าง...ธรรมดาโลกมีสองฝั่ง คือ

อิฐารมณ์(เรื่องชวนอารมณ์ดี) กับ อนิฏฐารมณ์(เรื่องชวนอารมณ์เสีย) หรือมีรวย มีจน มีคนยกให้ มีคนขับไล่ มีคนสรรเสริญ มีคนส่อเสียด มีสุขสม มีทุกข์โศก เป็นโลกธรรม หรือธรรมคู่โลก ฉะนั้นหากเจอใครหรือแม้ตน จะรวย หรือจน จะมีคนยกไว้ให้ค่า หรือมีคนขับไล่ไม่ชอบใจ มีคนนินทาหมั่นไส้ มีคนสรรเสริญเอาใจ แม้สุข หรือทุกข์จะเกิดดับสลับกันไปในชีวิต ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่โลกต้องมีอย่างนี้ ไม่เคยมีใครเปี่ยมสุขเต็มสิบ สุขเสมอต้นเสมอปลาย ... ไม่มี
การเข้าใจ ยอมรับ...ธรรมคู่โลกเหล่านี้ ทำให้จิตไม่ดิ้น ไม่ซังกะตาย ไม่ตีโพยโวยวาย ร้องให้เหมือนเด็กต๊องสูญเสียตุ๊กตา เมื่อเจอ อนิฏฐารมย์ และไม่เริงรื่นครึกครื้นเกินการณ์ เหมือนจิ๊กโก๋เห็นกลอง 
เมื่อเจอ อิฏฐารมย์
ยิ่งเข้าใจว่า ทั้งเรา ทั้งโลก ทุกเรื่อง ล้วนขึ้นตรงต่อกฏไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
สมใจ เสียใจ อันใดเกิดมาก็ไม่เที่ยง และทุกข์ก็เป็นเรื่องจริงแท้


แม้พระพุทธองค์ ก็ยืนยันว่า

ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไร...ดังนั้นหากบอกว่าโลกนี้เป็นลานทุกข์ระทม ชีวิตที่จมอยู่กับโลก จะต้องเจอทุกข์...ก็ถูกแล้ว เพียงเข้าใจว่า ถูกแล้ว ธรรมดาเป็นอย่างนี้ เบื่อ เซ็งจะหายไปทันที และใดๆล้วนเป็นอนัตตา คือไม่เป็นตน แม้ตนก็ยังไม่ใช่ตน นอกจากใจหลงสำคัญมั่นหมายว่าตนเป็นไปต่างๆนาๆ ความรู้สึกว่า เราเป็นอัตตาจึงมีอยู่... ไตรลักษณ์เหล่านี้ หากผู้ใดเรียนรู้ด้วยสติ กระทั่งใจสัมผัสชัด เซ็งจะคลาย เบื่อจะหายเป็นปลิดทิ้ง

มีอยู่...บางคน เหนื่อยหน่ายในการงาน ในการหาเลี้ยงครอบครัว แล้วก็เซ็งๆๆๆ บอกพี่น้อง ในการงานการหาเลี้ยงชีวิต หากไม่ทำกิจด้วยจำนน ไม่ตระหนักว่าเป็นหน้าที่ แต่ด้วยเจตนาบำเพ็ญบารมี... เบื่อเซ็งไม่เกิด ด้วยรู้สึกว่าเราได้...ได้สะสมบุญสะสมบารมี
คนที่ทำกิจด้วยจำนน เป็นคนไม่หาญกล้า ไม่มีสติปัญญา เพียงกล้า และขยับ จะเห็นทางที่ไม่ต้องจำนน

คนที่ทำกิจด้วยตระหนักว่าเป็นหน้าที่ ส่วนหนึ่งของใจมักรอคอย เมื่อไรหนอฉันจะหมดหน้าที่ซะที อย่างนี้พลังไม่เต็มร้อย ฉันทะไม่เต็มที่ สุขไม่มี


คนที่ทำกิจด้วยเจตนาสะสมบารมี ...ทำไปใจก็เบา เมื่อได้ทรัพย์มาแม้ต้องให้ครอบครัว ก็เข้าใจใหม่ว่า นั่นคือการบำเพ็ญทานบารมี เมื่ออยู่ร่วมแล้วไม่ราบรื่น นั่นก็เป็นที่ตั้งของการบำเพ็ญขันติบารมี วิริยะบารมี เมตตาบารมี ปัญญาบารมี อาศัยครอบครัวนี่แหละเป็นที่สะสมบุญ เพียงรู้สึกว่าได้ทำบุญ เบื่อก็จะหาย เซ็งซังกะตาย ก็จะลาจาก เพราะสารสุขไล่ส่ง
บอกพี่น้อง...อารมณ์ไม่เบื่อหน่าย ซึมเซ็ง ร่างกายไม่เป็นมะเร็งได้ง่ายๆ ทำอารมณ์ให้สบาย ทำตัวให้ดี ไม่มีความรู้สึกเป็นลบเป็นร้าย...อยู่สุข อยู่สบาย...แน่นอน 

ที่มา : Roidaoดอทคอม
จาก dhammathai

● ไม่กล้า ... ไม่มีวันเดินหน้า ●


คุณเคยคิดไหมว่า คำบางคำสามารถจะเป็นแรงผลักดัน ทำให้คนเราเกิดกำลังใจที่จะฮึดสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ ที่หนักหนาและฝ่าฟันจนผ่านพ้นไปได้

วันหนึ่งที่เกิดความรู้สึกสับสนขึ้นในตัวเอง จากปัญหาและอุปสรรคจนทำให้เราท้อและคิดจะหนี เพราะความกลัวจึงทำให้เกิดความไม่มั่นใจ และไม่คิดที่จะสู้กับปัญหานั้น

คุณเชื่อไหมว่าเพียงคำหนึ่งคำจากแผ่นป้ายโฆษณา "ไม่กล้า...ไม่มีวันเดินหน้า" สามารถทำให้คนคนหนึ่งที่กำลังมีความท้อแท้ สับสน มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคนั้น เพราะคำคำนั้นทำให้กลับมาคิดถึงโอกาสดี ๆ ที่น้อยคนนักจะมีสิทธิ์ได้รับ แต่ทำไมเรากลับท้อแท้ทั้งที่ยังไม่ได้ต่อสู้กับปัญหาอย่างเต็มที่ ก่อนที่คิดจะยอมแพ้

มีคนหลายคนอยากให้ตัวเองได้รับโอกาสดี ๆ ในการที่จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่มีอยู่ แต่เราเองที่มีโอกาสแล้ว ทำไมกลับไม่คว้ามันไว้ กำลังใจและแรงผลักดันต่าง ๆ ที่คนเราต้องการบางครั้งอาจจะไม่จำเป็นจะต้องเป็นคำที่งดงามสวยหรู คติสอนใจในการดำเนินชีวิตสามารถเกิดขึ้นได้ในทุก ๆ ที่

ประโยชน์ของมะเฟือง

ใช้เป็นเครื่องเคียงอาหารรับประทานสดๆ และแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ คุณค่าทางอาหารของมะเฟืองอุดมไปด้วย วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอะซีน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมันเส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็กและพลังงาน
ผลมะเฟือง : ให้วิตามินเอ และวิตามินซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม

ใบและราก : ปรุงรับประทานเป็นยาดับพิษร้อน แก้ไข้ ใช้ใบต้มน้ำอาบแก้ตุ่มคัน

ผล : ใช้เป็นยาขับเสมหะ ขับปัสสาวะ ใช้สระบำรุงเส้นผม และขจัดรังแค

ยอด : มะเฟือง+รากมะพร้าว ต้มผสม แก้ไข้หวัดใหญ่ 

แก่นและราก : ต้ม กินแก้ท้องร่วง แก้เจ็บเส้นเอ็น

ในมะเฟืองหนึ่งผลนั้น สามารถที่จะช่วยเสริมสร้างกระดูก และฟันให้แข็งแรง ควบคุมการเต้นของหัวใจให้สม่ำเสมอ ควบคุมกล้ามเนื้อ ช่วยให้เลือดแข็งตัวง่าย กล่อมประสาท ช่วยระงับความฟุ้งซ่าน จึงช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น ในผู้ที่มีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับ ส่วนน้ำมะเฟืองคั้นนั้น ตำรายาโบราณกล่าวว่า มีสรรพคุณในการแก้ร้อนในดับกระหาย ลดความร้อนภายในร่างกาย ถอนพิษไข้ก็ได้ เป็นยาขับเสมหะป้องกันโรคโลหิตจาง โรคเลือดออกตามไรฟัน รวมทั้งยังช่วยขับปัสสาวะ และบรรเทาอาการนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้อีกด้วย

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

เติมชีวิต..ด้วยรัก..

หลายครั้งหลายหนที่เราเจ็บปวดเพราะรัก...เพราะรักเป็นทุกข์นั้นหรือ...

หากมองให้ดี ๆ รักอาจจะไม่เป็นตัวกำหนดทุกข์นั้นได้..

แต่เป็นการคาดหวังจากฝ่ายหนึ่งมากกว่า...ลองย้อนถามตัวเองซิว่า

"ทุก ๆ ครั้งที่เราร้องไห้ เราผิดหวัง เป็นเพราะเรารักเขาหรือเป็นเพราะว่า

เขาไม่รักเรามากอย่างที่เราต้องการกันแน่"

ความรักไม่เคยทำร้ายใคร... แต่เป็นความคาดหวังจากความรักนั้นมากเกินไป...

ความรักที่เราคาดหวังมากจะย้อนกลับมาทำร้ายเราทุกครั้งที่เราคาดหวังสูงเกินไป..

ไม่มีใครในโลกที่สามารถเป็นอย่างเจ้าชาย...เจ้าหญิงในฝันของเราได้...

การเรียกร้องจากอีกฝ่ายรังแต่จะทำให้เจ็บปวดกันทั้งคู่...

เมื่อใดที่รู้สึกท้อแท้หรือหมดกำลังใจ...จากการร้องหาความรักจากผู้อื่น ...

ลองมองย้อนกลับมาที่ตัวเราเอง...

แล้วลองสร้างความรักให้เกิดขึ้นภายในของตัวเองดูบ้าง...

ไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายได้รับอยู่ตลอดเวลา ...

ความรักภายในตัวของตัวเอง...ไม่ต้องใช้เงินใช้ทองซื้อมา...

หากแต่ก่อขึ้นมาง่าย ๆ ...และมีล้นเหลือมากพอที่จะแบ่งปันให้ผู้อื่น...

โดยไม่จำเป็นต้องคาดหวังจะได้สิ่งตอบแทนมา ...

เมื่อใดที่รักใครสักคน...ลองให้ความรักแก่เขาเท่าที่เราจะทำได้...

โดยไม่ต้องคาดหวังถึงสิ่งที่จะได้รับกลับมา

ไม่จำเป็นเลยที่เรียกร้องให้เขารักเราตราบเท่าเทียมที่เรารักเขา...

เพียงแค่แบ่งปันรักในใจเท่านั้น...

เราก็จะสัมผัสจากคำว่าความสุขจากความรัก...จากการให้อย่างแท้จริง

นอกจากนี้เราจะสามารถควบคุมความสุขของตัวเองให้อยู่ในมือของตัวเองได้...

ไม่จำเป็นต้องให้ความสุขของเราอยู่ในมือของคนอื่นที่แล้ว ๆ มา...

เพราะเขาเองเป็นบ่อเกิดของความรัก...

เป็นคนให้มิได้เป็นฝ่ายรับ..

และยิ่งให้มากเท่าไร...เราก็ยิ่งได้ความรักกลับคืนมากเท่านั้น...

เมื่อเราบริสุทธิ์ใจที่จะให้รักกับใครก็ตาม...อีกฝ่ายก็จะรู้สึกสบายใจที่จะให้รักแก่เรา...

โดยไม่ต้องคำนึงว่าเราต้องการอะไรตอบแทนจากเขากันแน่...

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด...คือ...

ความรักและการให้เป็นบ่อเกิดของความสุขได้ด้วยตัวของมันเอง ...

ไม่จำเป็นต้องใช้ใครก็ตามเป็นคนสร้างความสุขให้เราอีกแล้ว...

เพราะทั้งความรักและความสุขทั้งหมด...มันอยู่ที่เรานั่นเอง...


คนกับสัตว์ มองเห็นต่างกันอย่างไร ?

เริ่มกันที่ดวงตาดวงแรกของโลกก่อน เกิดเมื่อประมาณ 540 ล้านปีที่แล้ว ในกลุ่มสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า

ดวงตาแบบแรกของโลก สามารถรับรู้ได้เพียงความสว่างและความมืดเท่านั้น ซึ่งตาแบบ "อาย สปอต" (eye spot) ของพานาเลีย ก็จัดว่าเป็นแบบเดียวกับตาดวงแรกของโลก ตาแบบ "อาย สปอต" ในยุคเริ่มแรกเริ่มมีลักษณะเป็นแบบแผ่น และค่อยๆ วิวัฒนาการไปเป็นแบบถ้วย ต่อมาจึงมีการพัฒนาเลนส์ตาขึ้น เพื่อให้รับภาพได้สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนกลายเป็นรูปแบบของดวงตาที่มองเห็นภาพและสีสันได้ชัดเจนอย่างในปัจจุบัน

ทีนี้ลองมาดูดวงตาของสัตว์ต่างๆ บ้าง ว่ามีลักษณะพิเศษ แตกต่างกันอย่างไรบ้าง

ดวงตางู

ดวงตางูเป็นดวงตาไร้เปลือก จึงหลับตาไม่ได้ ซึ่งดวงตาที่เปิดกว้างอยู่ตลอดเวลาของงูนั้นมีเกล็ดใสครอบอยู่เพื่อปกป้องดวงตาเวลาที่เลื้อยลงไปใต้ดิน ขณะที่งูจำพวกงูเขียวหางไหม้ และงูเหลือม มีโครงสร้างรับสัมผัสที่เรียกว่า พิต ออร์แกน (Pit organ) อยู่ระหว่างดวงตากับจมูกช่วยเสริมการมองเห็น โดยรับสัมผัสคลื่นความร้อนจากตัวเหยื่อ ทำให้งู เชื่อมโยงการมองเห็นภาพด้วยดวงตา และความร้อนเข้าด้วยกัน จึงล่าเหยื่อได้ดีแม้ในยามกลางคืน

ตาแมงมุม

เป็นสัตว์ที่มีตาเยอะมาก แมงมุมกระโดดมีตาทั้งหมด 8 ดวง เพื่อช่วยในการล่าเหยื่อได้อย่างดีเยี่ยม ตารองด้านข้างและด้านบนของหัวช่วยหาตำแหน่งของเหยื่อได้ไวแม้ให้ภาพไม่ชัดเจนนัก เมื่อพบตำแหน่งเหยื่อแล้วจะใช้ตาหลักที่อยู่ด้านหน้าแยกแยะรายละเอียดเพื่อระบุตำแหน่งที่แน่ชัดอีกครั้งก่อนจู่โจม โดยมีตารองอีกชุดที่อยู่ใกล้กับตาหลักช่วยกะระยะได้อย่างแม่นยำ โห จะแม่นไปไหมเนี่ย

ตานกแสก, นกเค้าแมว

มีดวงตา กระจกตา และรูม่านตาขนาดใหญ่ มีเซลล์รับแสงจำนวนมาก เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นได้ดีในที่มืด จึงรับรู้ได้ไวต่อการเคลื่อนไหวแต่ไม่ไหวต่อสี
ตาของนก
นกเกือบทุกชนิดมีหนังตาแผ่นที่ 3 ที่เป็นเยื่อบางๆ คลุมดวงตาของนกไว้ ซึ่งคอยทำความสะอาดดวงตา และปกป้องดวงตาจากลมและแสงแดดในขณะบินโต้ลมแรง ส่วนนกที่ต้องดำน้ำหาอาหาร หนังตานี้จะช่วยกันน้ำได้ หนังตาพิเศษนี้จึงเปรียบเสมือนแว่นกันแดด แว่นกันลมและแว่นตาดำน้ำของนกเลยล่ะ

ตาวาฬและโลมา

จะมีเยื่อหุ้มตาขาวหนา และมีกระจกตาหนา มีกล้ามเนื้อตามาก ช่วยปกป้องดวงตาเมื่ออยู่ใต้น้ำและน้ำเย็น เลนส์ตาเป็นทรงกลม ทำให้มองเห็นภาพใต้น้ำลึกที่มีแสงน้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หมึกยักษ์

นอกจากความฉลาดแล้ว ยังมีดวงตาที่ดีอีกต่างหาก หมึกยักษ์เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่มีดวงตาพัฒนาสูงสุดในกลุ่มสัตว์น้ำ แต่ใกล้เคียงกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยในทะเล มีปมประสาทตาขนาดใหญ่ ดวงตาไวต่อแสงมากกว่ามนุษย์ 5 เท่า มองเห็นได้ดีในที่มืดอย่างใต้ทะเลลึกที่แสงอาทิตย์ส่องลงไปไม่ถึง และสามารถปรับโฟกัสของดวงตาได้


แมลงปอ

ดวงตาในดวงตาดวงตาของแมลงปอ มีขนาดใหญ่มากถึง 2 ใน 3 ของส่วนหัว เป็นตารวม 1 คู่ ประกอบด้วยเลนส์รูปหกเหลี่ยมขนาดเล็กจำนนหลายพันเลนส์เรียงต่อกันคล้ายรังผึ้ง คล้ายกับมีดวงตาขนาดเล็กจำนวนมากมารวมกันเป็นตาใหญ่ดวงเดียว แมลงปอจึงมองเป็นภาพจากเลนส์แต่ละส่วนมาประกอบเป็นภาพเดียวกัน คล้ายภาพจิ๊กซอหรือภาพโมเสก


เหยี่ยว

สัตว์ที่ขึ้นชื่อว่า สายตาเฉียบคมมาก เหยี่ยวมีดวงตาขนาดใหญ่ที่ค่อนไปทางด้านหน้าของศีรษะ มองเห็นภาพได้ในมุมกว้าง มุมมองตรงกลางจะถูกขยายออกเพื่อมองเห็นเหยื่อได้ในระยะไกลเหมือนกับมองด้วยกล้องส่องทางไกล
เห็นภาพแบบ 3 มิติ ที่มีความคมชัดทั้งภาพและสีสัน


จากเด็กดีดอทคอม

ทำไมเค้กวันเกิดต้องมีเทียนปัก

จากการค้นหาข้อมูลของเราพบว่า เทียนที่ปักอยู่บนเค้กวันเกิดมีที่มาและความเชื่อต่างกันตามแต่ยุคสมัย ดังนี้

ตามตำนานของชาวกรีกโบราณเชื่อกันว่า เทียนที่ปักอยู่บนเค้กวันเกิดซึ่งไว้สำหรับบูชาเทพีจันทรา ณ วิหารอาร์เทอมิสนั้นก็เพื่อทำให้เค้กนั้นมีลักษณะเหมือนดวงจันทร์นั่นเอง กล่าวคือ ชาวกรีกต้องการใช้แสงสว่างจากเทียนไขสีเหลืองนวลให้ทอแสงประกายไปทั่วตัวเค้กที่เป็นวงกลม เพื่อให้เค้กนั้นมีลักษณะเหมือนดวงจันทร์ จะได้เข้ากับพิธีบูชาเทพีจันทรา

ทว่า สำหรับชาวเยอรมันในอดีตเชื่อว่า เทียนที่ปักอยู่บนเค้กวันเกิดถือเป็นสื่อสัญลักษณ์แทน "แสงแห่งชีวิต" โดยพวกเขาจะปักเทียนขนาดใหญ่เอาไว้ตรงกลางเค้กให้สุกสว่างโชติช่วงเปรียบเสมือนเป็นแสงเทียนแห่งชีวิต

สำหรับผู้เชี่ยวชาญบางสำนักระบุว่า ธรรมเนียมการปักเทียนบนเค้กวันเกิดอาจจะเกิดขึ้นเพราะความเชื่อของชาวคริสต์ที่ว่า พระเจ้าอาศัยอยู่บนท้องฟ้า และเพื่อที่ว่าพวกเขาจะสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ก็ต้องอาศัยแสงและควันจากเปลวเทียน ด้วยเหตุนี้ จึงมีการปักเทียนบนเค้กวันเกิดเพื่อให้พระเจ้าทรงรับรู้ในคำสวดและคำอธิฐานของเจ้าของวันเกิด

ไม่ว่าที่มาของเทียนวันเกิดจะเกิดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ตามแต่ธรรมเนียมปฏิบัติดังกล่าวก็ได้ถูกสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังมีความเชื่อใหม่เกิดขึ้นตามมาเรื่อยๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น มีความเชื่อว่าจะต้องปักเทียนให้เท่ากับจำนวนอายุของเจ้าของวันเกิด และหากว่าเจ้าของวันเกิดสามารถเป่าเทียนดับทั้งหมดภายในหนึ่งอึดใจ แสดงว่าเขาจะโชคดีตลอดปี หรือหมายความว่า คำอธิฐานของเขาจะกลายเป็นจริง ในทางกลับกัน หากไม่สามารถเป่าให้ดับได้ทั้งหมด ก็แสดงว่าคำอธิฐานของเขาจะไม่เกิดขึ้น เป็นต้น

ทำไม1วันต้องมี24ชั่วโมง

7ปฏิทินเกิดขึ้นมาจากการที่นักวิทยาศาสตร์สังเกต และบันทึกการเปลี่ยนแปลง การขึ้น-ลงของดวงจันทร์ ซึ่งเป็นเครื่องหมายของการผ่านพ้นไปในแต่ละวัน และกลายเป็นเดือน เป็นปี

ปฏิทินในยุคแรก ใน 1 เดือน จะมี 29-30 วัน และในช่วง 1 เดือนนั้น ดวงจันทร์มีการเปลี่ยนแปลงจากข้างขึ้นไปเป็นข้างแรม 1 รอบ เมื่อการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดครบ 12 รอบ จึงเกิดเป็น 12 เดือนใน 1 ปี แต่ในช่วง 1 ปีของปฏิทินที่เทียบจากการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์จะสั้นกว่าที่เป็นจริง
ชาวอียิปต์จึงสร้างปฏิทินขึ้นใหม่โดยอาศัยการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์แทน ซึ่งจะได้ปฏิทินใหม่ที่มี 30-31 วัน ใน 1 เดือน และมี 365 วัน หรือ 12 เดือนใน 1 ปี


เมื่อมนุษย์เริ่มมีวิวัฒนาการมากขึ้น มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ต่างๆ มนุษย์จึงเริ่มมีการทำกิจกรรมมากขึ้นในแต่ละวัน สิ่งที่ตามมาก็คือความต้องการในการกำหนดเวลา เพื่อให้มีบทบาทในการกำหนดขอบเขตในการทำกิจกรรมของมนุษย์ในเรื่องต่างๆ เช่น การศึกษา การทำงาน การเล่นกีฬา เป็นต้น มนุษย์ใช้การสังเกตเงาจากดวงอาทิตย์ที่ทาบลงวัตถุบนพื้นโลกใน 1 วัน จึงเกิดการนับช่วงเวลาเป็น ชั่วโมง นาที และวินาทีขึ้น


แล้วทำไมถึงต้องมีวันที่ 29 กุมภาพันธ์ เป็นวันพิเศษอีก 1 วัน ซึ่งจะเวียนมาในทุกๆ 4 ปี ทำให้ในปีนั้นมี 366 วันเกิดขึ้น นั่นเป็นเพราะว่าจริงๆ แล้วโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบใช้เวลา 365 วันกับอีก 5 ชั่วโมง 48 นาที และ 45 วินาที เมื่อนำเวลาที่เกินมาในแต่ละปีนั้นมารวมเข้าด้วยกันในทุกรอบ 4 ปี ก็จะได้วันเพิ่มขึ้นมาอีก 1 วัน จึงเกิดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ขึ้น

การกำหนดให้ในช่วงรอบ 4 ปี โดยที่ 3 ปีมี 365 วัน และอีก 1 ปีมี 366 วัน ทำให้ปฏิทินที่ได้มีความถูกต้องแม่นยำขึ้น


1 วัน มีกี่ชั่วโมงนั้นก็เพราะกำหนดจากระยะเวลาการหมุนของโลกรอบตัวเอง ส่วนหนึ่งปีมีกี่วันนั้นก็คิดมาจากระยะเวลาที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่ใครเป็นผู้กำหนดวันเวลานั้นไม่สามารถระบุชี้ชัดลงไปได้ ทั้งนี้ เพราะเวลานั้นเกิดจากการพัฒนาและเรียนรู้ของมนุษย์มานานหลายพันปี


มนุษย์สมัยโบราณเรียนรู้และกำหนดเวลาจากวงรอบทางดาราศาสตร์ โดย "วัน" มาจากการหมุนของโลกรอบแกนใน 24 ชั่วโมง (ปัจจุบันโลกหมุนรอบตัวเองใช้เวลา 23.56. 1 ชั่วโมง) "เดือน" มาจากการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์รอบโลก ซึ่งเมื่อนับวันเทียบกับการโคจรของดวงอาทิตย์ก็พบว่าจันทร์เต็มดวงจะเวียนมาครบรอบใหม่ทุกๆ 29 .5 วัน ส่วนปีก็คือเวลาที่โลกใช้โคจรรอบดวงอาทิตย์ (365.242199 วัน)


ที่มาicphysics


ขจัดโรคฟุ่มเฟือยในตัวคุณ

โรคทางกายสามารถรักษาหายได้ไม่ยากนักแต่โรคทางใจที่คนยุคใหม่เป็นกันนี้เรียกง่ายๆว่าโรคฟุ่มเฟือยที่ทำให้ระบบการเงินที่แม้หาได้มากก็ไม่พอต่อความต้องการเสียทีลองใช้ไอเดียจาก คุณกำพลอัศวกุลชัย รองกรรมการผู้จัดการ บลจ. ทหารไทย เพื่อขจัดโรคฟุ่มเฟือยกันดีกว่า

หลีกไกลอารมณ์อยากซื้อ
ในที่นี้หมายถึงการเดินช้อปปิ้งทุกประเภท เพราะการขายของไม่ว่าให้ห้างสรรพสินค้า หรือตลาดนัดก็ตามล้วนมีการตกแต่งร้าน ทำการตลาดลดราคาให้ดูน่าซื้อหามาเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนจะมีของ Sale ล่อตาล่อใจ ให้สาวๆ ล่องลอยเข้าไปในร้านสู่โลกแห่งความฝัน และคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นคุ้มค่าเพราะราคาถูกกว่าครึ่ง โดยที่ไม่ได้นึกถึงเลยว่าเราไม่ได้ต้องการมันสักนิด หรือไม่มันก็ยังไม่จำเป็น เพราะว่าสาวๆ กำลังติดอยู่ในอารมณ์อยากซื้อนั่นเอง ดังนั้นหนทางแก้อยู่ที่การกลับไปนอนคิดที่บ้านก่อน สักพักอารมณ์อยากตรงนั้นก็จะหายไปเอง

ใช้เวลาช้อปปิ้งมาทำงาน
เอาเวลาที่คุณไปช้อปปิ้งทำงานที่ค้างไว้ หรือหาข้อมูลเกี่ยวกับการงานใหม่ๆ เพราะว่าเวลาที่คุณมีอยู่สามารถสร้างเงินได้แทนการออกไปฟุ่มเฟือย นอกจากนี้ยิ่งทำงานยิ่งเพิ่มเงินเยอะขึ้น ตำแหน่งหน้าที่มีการเติบโต บางทีอาจจะมีโบนัสปลายปีคอยอยู่ หากยังรู้สึกอยากจะดูของอยู่ให้ใช้วิธีเลือกของเก่าเอามามิกซ์แอนด์แมตช์ ไว้เป็นกิจกรรมคลายเหงาของสาวชอบแต่งตัวแทน

คิดการใหญ่ไม่ฟุ่มเฟือย
การคิดการใหญ่เป็นสิ่งที่ดี เพราะหมายถึงคุณจะต้องมีวินัยในการสะสมเงินให้ได้จำนวนมากพอสมควร เพื่อเก็บไว้ซื้อของที่อยากได้จริงๆ ไม่ใช่ของกระจุกกระจิกราคาถูกที่ใช้ 3 ทีก็เจ๊ง ลองเก็บตังค์ซื้อกระเป๋าหรือรองเท้าแบรนด์เนมดูสิ เพราะของพวกนี้ใช้ทนใช้นาน ดูแล้วคุ้มค่ากว่าการซื้อบ่อยๆ แต่ของไม่มีคุณภาพกว่ากันเยอะ

ไม่พกเงินและบัตรเต็มกระเป๋า
วิธีไม่พกเงินเยอะๆ จะทำให้คุณจำกัดการใช้จ่ายได้อย่างดี รวมทั้งงดใช้เงินอนาคตของบัตรเครดิต แม้ว่าจะมีแต้มสะสมล่อตาล่อใจเท่าไรก็ตาม พกเพียงแค่ 1-2 ใบ ไว้ยามฉุกเฉินก็พอแล้ว

วิธีทำให้ชีวิตให้โล่ง และ เบาขึ้น

เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้เปิดตู้เสื้อผ้าดูเห็นมีเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้เต็มตู้ไปหมด เคยนึกจะใช้เวลาเลือกเอาสิ่งที่เลิกใช้ไปแล้วไปบริจาคที่ไหนสักแห่งแต่ก็ยังไม่ได้ทำสักที

เอาล่ะ...วันนี้เริ่มทำเสียที... ปรากฏว่า รื้อ ค้น ได้เสื้อ กางเกง เสื้อกันหนาวมากมายที่ไม่ได้ใช้แล้วหรือไม่อยากใช้แล้วนับเป็นร้อยชิ้น เมื่อเอาของออกจากบ้านไปบริจาคแล้ว มีความรู้สึกว่าตู้เสื้อผ้าโล่งขึ้น ตัวเองก็เบาลง ใจก็สบายขึ้นอย่างประหลาด รู้แล้วล่ะ...สิ่งที่ผมทำไปแล้วนั้น
คือ การทำให้ชีวิตโล่งและเบาขึ้นนั่นเอง

วันนี้เรามาคุยกันถึงวิธีทำให้ชีวิตเบาขึ้น โล่งขึ้น สบายขึ้นดีไหม? วิธีทำให้ชีวิตโล่ง และ เบาขึ้น เช่น...

1. เก็บของที่ไม่ใช้ เลิกใช้ เอาไปบริจาคให้ผู้เดือนร้อน เช่น เสื้อผ้า รองเท้า เฟอร์นิเจอร์เก่าๆ อย่าไปเสียดายกับของที่ไม่ใช้แล้วเลย
2. ลดงานที่เครียดๆ ลงบ้าง เช่นงานประชุมที่เอาจริงเอาจังงานที่แข่งขันและหวังผลสูงถ้าเลือกได้ ลาออกจากการเป็นกรรมการอะไรต่อมิอะไรเสียบ้างก็ได้บรรยากาศของการประชุมมักจะเครียดเสมอสารความเครียดก็หลั่งตลอดเวลา...รู้ไหม?
3. เลือกไปงานที่สำคัญและควรจะไปเท่านั้นไม่เช่นนั้นเราจะไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย
4. อ่านหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารให้น้อยลง โดยเฉพาะข่าวอาชญากรรมหรือข่าว เครียดๆ ที่ซ้ำกันทุกวัน
5. เลิกดูรายการทีวี.ที่เครียด หรือรายการข่าวหนักๆ ที่ซ้ำๆ กันทุกวัน เช่น รายการที่มีพิธีกรมานั่งเถียงกัน พูดแข่ง พูดแซวกัน 2-3 คนดูไปฟังไฟแทนที่จะสบายใจกลับเครียดมากขึ้น น่าเบื่อด้วยซ้ำ
6. อย่ารับปากหรือสัญญาว่าจะทำอะไรให้ใครๆ ง่ายๆ ด้วยความเกรงใจเลยหัดปฏิเสธให้เป็น
7. อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคนอื่นเลย ทำได้ยากมากจะทำให้เราจมปลักอยู่กับความผิดหวังในตัวคนอื่น และเกลียดชังสังคมรอบตัว พยายามรักคนอื่น และยอมรับเขาตามความเป็นจริงเถิด ถ้ารักไม่ลง ก็มองข้ามเขาไป และลดความคาดหวังในตัวเขาลงด้วย เมื่อเวลาผ่านไป เรา หันไปมองเขาใหม่ เราจะเข้าใจยอมรับและรักเขาตามความเป็นจริงได้มากขึ้น
8. หัดไปไหนมาไหนคน เดียว เป็นเพื่อนตนเองได้จะลดขั้นตอนและความยุ่งยากใจ เวลา จะต้องทำอะไรหรือไปไหนได้มากขึ้น
9. ลดความบ้างาน บ้าเงิน บ้าอำนาจ บ้าเกียรติยศชื่อเสียงลงบ้างจะทำให้คุณไม่ เครียดกับการเฆี่ยนตัวเองให้ทำงานหนัก และแข่งขันกับคนรอบข้างตลอดเวลาจนลืมสร้างมิตรและไม่เคยพอใจตัวเองเลยไม่ว่าจะได้มามากเท่าไร
10. ถ้าจะรักใครสักคน อย่าหลงรักเขาทั้งหมดของชีวิตและอย่าเข้าไปก้าวก่ายชีวิต เขาด้วย จงคิดเพียงจะอยู่ข้างๆ เขาก็พอแล้ว การรักแบบนี้จะทำให้รักกันได้นานๆ
11. ลองแบ่งเวลาวันละ 1 ชั่วโมง ล้างจิตใต้สำนึกที่ไม่ดีออกไปให้หมด
ลองทำดูตามที่แนะนำมานะครับ เราจะรู้สึกว่าชีวิตโล่งและเบามากขึ้น เหมือนใส่เสื้อผ้าหลวมๆ ไม่คับ แคบ หรือรัดรึง อึดอัด เวลาตัวเองเบาๆ ใจสบายๆ ความคล่องตัวจะมีมากขึ้น จนคุณแปลกใจตัวเอง

ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็สุขได้ด้วยการให้ 108 วิธี

ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็สุขได้ด้วยการให้ 108 วิธี

แม้วันแม่เพิ่งจะผ่านพ้นไปเพียงหนึ่งวัน แต่เชื่อว่าหลายๆครอบครัวพร้อมที่จะเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆหรือทำอะไรดีๆต่อไปเรื่อยๆเพื่อให้แม่และทุกคนในครอบครัวมีความสุข และหากทุกคนมีความสุขแล้ว รู้จักการให้แก่คนในบ้านมาพอสมควร วันนี้ลองมาปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อเป็นผู้ให้แก่คนอื่นบ้างก็คงจะดีไม่น้อย

ทั้งนี้วิธีมอบน้ำใจให้แก่ผู้อื่น เราสามารถเริ่มต้นด้วยการมองและยิ้ม ต่อจากนั้นก็ใช้การทักทาย ฟัง และพูด น้ำใจสามารถส่งถึงกันได้ด้วยการเขียน และการกระทำ ทั้งต่อคนที่รู้จักกันแล้ว และที่ยังไม่รู้จักกัน ไม่ว่าเด็กเล็กหรือผู้ใหญ่ สามารถมอบน้ำใจให้แก่กันได้ทั้งสิ้น

วันนี้ทางทีมงาน Life and Family จึงขอเสนอ วิธีการ 108 วิธีเพื่อมอบน้ำใจให้แก่บุคคลอื่น ซึ่งมันจะทำให้ทุกคนรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า เป็นที่รัก และชื่นชมสำหรับบุคคลอื่นเพิ่มขึ้น และโลกนี้จะน่าอยู่ น่าชื่นอยู่ขึ้นอีกมากทีเดียว


มองและยิ้ม

1.มองทุกคนที่พบกันด้วยสายตาที่เป็นมิตร อย่าคิดว่าคนอื่นจะประสงค์ร้ายต่อเราทั้งหมด แต่ก็ต้องระวังคนหลอกลวงไว้บ้าง

2.ยิ้มให้ทุกคนที่พบกัน ยิ้มด้วยสายตา ยิ้มด้วยใบหน้า ยิ้มด้วยจิตใจ อย่าทำหน้าบึ้งหน้างอ ถ้าวันไหนอารมณ์ไม่ดี ลองมองดูหน้าตนเองในกระจกเงาบ้าง

3.ทำความรู้จักกับคนที่ไม่รู้จัก โดยพยายามยิ้มให้และกล่าวคำทักทาย

4.โบกมือส่งยิ้มให้เด็กๆ ในรถนักเรียนที่แล่นผ่านไป ยิ้มให้เด็กๆในรถข้างๆ หรือเด็กที่มองตาของท่านผ่านกระจกหลังของรถคันหน้าที่ติดไฟแดง

5.มองคนในแง่ดี มองคนในแง่บวก พิจารณาว่า เขาทำอะไรด้วยความหวังดีอย่างไรบ้าง อย่ามองคนในแง่ร้าย หรือมองในแง่ลบ อย่าเพิ่งคิดว่าเขาจะทำความชั่ว ความเลวเสียทั้งหมด น่าจะมีความดีอยู่บ้าง หรือเขาอาจทำไปเพราะความไม่รู้ ไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิดก็ได้

6.มองว่าคนเราสามารถเป็นมิตรกันได้ แม้ว่าจะมีความคิดเห็นต่างกัน หรือมีความเชื่อต่างกัน มองว่าการกระทำบางอย่างอาจทำได้หลายวิธี ไม่จำเป็นว่ามีวิธีหนึ่งที่ถูกต้องแล้ว อีกวิธีหนึ่งจะผิด


ทักทาย

7.ทักทายกับคนอื่น เมื่อได้พบกัน ด้วยการกล่าวคำสวัสดี ยกมือไหว้ ยิ้ม หรือก้มหัว ตามความเหมาะสม พยายามเรียกชื่อของเขา เพราะทุกคนมีความภูมิใจในชื่อของตน ระวังอย่าเรียกชื่อผิดคน

8.สนทนาทักทายกับเพื่อนร่วมงาน ถามไถ่ทุกข์สุข คุยเรื่องที่เขาสนใจ อย่านั่งใกล้กับใครโดยไม่พูดกัน


ฟัง

9.ตั้งใจฟังคนอื่นพูด ให้เวลาเขาพูด อย่าเพิ่งขัดคอ ขัดใจ อย่าพูดสอดแทรกขัดจังหวะ อย่าทักท้วงให้เขาเสียหน้า ต่อคนหมู่มาก

10.รับฟังสิ่งที่เขากำลังทำ หรือที่เขากำลังสนใจ แล้วหาทางสนับสนุนสิ่งที่ดี รับฟังความทุกข์ของเขา แล้วหาทางช่วยแก้ปัญหา บรรเทาความทุกข์ รับฟังความสำเร็จและความสุขของเขา แล้วร่วมยินดีด้วย


พูด

11.ใช้คำพูดสี่คำให้ติดปาก คือ ขอบคุณ ขอโทษ ดี ช่วย กล่าวคำขอบคุณ เมื่อมีใครทำดีต่อตน ขอโทษเมื่อทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ ดี เมื่อผู้อื่นทำความดี และช่วย เมื่อต้องการให้ผู้อื่นช่วยเหลือ

12.พูดด้วยคำสุภาพ ไพเราะ อ่อนหวานมีคำลงท้าย ครับ หรือ ค่ะ ตามความเหมาะสม ไม่ใช้คำหยาบคาย ดุด่าเสียดสี ขู่ตะคอก หรือพูดเหน็บแนม อย่าจี้จุดอ่อนให้ช้ำใจ หาเรื่องที่สนุกสนาน ตลกขบขันมาเล่าสู่กันฟังบ้าง ถ้าพูดตลกไม่เป็น ให้พยายามจดจำมุขตลกที่คนอื่นเล่าแล้วนำไปเล่าต่อ

13.พูดชมเชยบุคคลอื่นเป็นประจำ เพื่อสร้างกำลังใจ อย่าเอาแต่ตำหนิต่อว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อบุตร ภรรยา สามี และผู้ใต้บังคับบัญชา เช่น ชมว่ามีความพยายามสูงมาก ทำงานได้ดี เอาใจใส่บ้านดี ทำงานรอบคอบดีมาก อย่าพูดแต่เรื่องของตนฝ่ายเดียว เพราะคู่สนทนาจะเบื่อหน่าย

14.พูดถึงคนอื่น และหัวหน้าผู้บังคับบัญชาในด้านดีกับคนที่เขารู้จัก อย่านินทาว่าร้ายผู้บังคับบัญชากับผู้อื่น เพราะอาจจะมีคนเก็บไปรายงานให้ท่านฟังภายหลัง

15.รู้จักขัดแย้งโดยไม่ให้เขาเสียน้ำใจ โดยใช้เทคนิค "ใช่...แต่..." เช่น "ที่คุณว่ามานั้นก็ถูกต้อง แต่อาจจะมีอีกวิธีหนึ่ง..." หรือ "ที่คุณคิดนั้นก็ใช่ แต่คนอื่นเขาอาจคิดอีกอย่างหนึ่งก็ได้กระมัง" หรือ "ของบางอย่างอาจจะมิใช่มีสีดำหรือสีขาว แต่อาจเป็นสีเทาที่จะว่าขาวก็ได้ ดำก็ได้" หรือ "วิธีที่ถูกต้องอาจะมีมากกว่าหนึ่งวิธีก็ได้" หรือ "ร้านก๋วยเตี๋ยวที่อร่อยอาจมีมากกวาหนึ่งร้านก็ได้"

16.หาเรื่องพูดคุยกับคนที่ขาดเพื่อน คุยกับคนที่เข้ากับคนอื่นไม่ได้ เพราะเขาเป็นคนที่น่าสงสาร และต้องการความช่วยเหลือ

17.พูดด้วยเสียงดังพอสมควร ไม่พูดแผ่วเบา หรือ ตะโกนให้ดังเกินไป การพูดด้วยการขึ้นเสียง ก่อให้เกิดความโมโห และนำสู่การทะเลาะวิวาท

18.พูดคุยในสิ่งที่เขาสนใจ เช่น เรื่องเกี่ยวกับลูกของเขา หรือสิ่งที่เขามีความเชี่ยวชาญ เช่น เรื่องฟุตบอล กอล์ฟ ละครโทรทัศน์ หรือ หัวข้อข่าวที่เขาสนใจ ระวังไม่คุยคุ้ยเขี่ยสิ่งที่เขาอับอาย หรือต้องการปกปิดไม่ให้ใครรู้

19.หาข่าวเรื่องดีๆ หรือ เรื่องคนที่กระทำความดีมาคุยกันบ้าง เพื่อให้จิตใจเบิกบานอย่าคุยแต่ข่าวร้าย ข่าวลือ หลอกลวง หรือข่าวที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง

20.ไม่พูดหาเรื่องจับผิดคนอื่น ถ้าจะพูดถึงความดีของตนก็ว่าไป แต่ไม่ควรนินทาว่าร้ายคนอื่น หรือคุยว่าคนอื่นสู้ตนเองไม่ได้

21.หาทางพูดคุยกับคนที่ไม่เคยรู้จักพูดคุยด้วย โดยการแนะนำตัวเอง หรือ หาผู้อื่นแนะนำ

22.โทรศัพท์หรือเขียนจดหมายไปหาเพื่อน หรือคนรู้จักที่ไม่ได้ติดต่อนานเกินหนึ่งปี รวมทั้งเมื่อได้รับข่าวที่น่ายินดี หรือข่าวที่น่าเสียใจ

23.ละเว้นการพูดคำที่ไม่ดี และไม่โกรธ โมโห อย่างน้อยหนึ่งวันต่อสัปดาห์ เช่น วันจันทร์ หรือวันศุกร์


เขียน

24.เขียนจดหมาย หรือไปเยี่ยมคนที่กำลังกลุ้มใจเสียใจ หรือประสบปัญหาชีวิต

25.เขียนจดหมายหรือส่งบัตรแสดงความขอบคุณผู้ที่มีน้ำใจไมตรี ผู้ที่ทำคุณกับเรา

26.เขียนจดหมาย หรือส่งบัตรแสดงความยินดีในวันคล้ายวันเกิด หรือเมื่อมีคนที่รู้จักได้ข่าวดี เช่น ได้เลื่อนตำแหน่ง ได้รับการยกย่องรางวัล

27.เขียนจดหมาย หรือส่งบัตรแสดงความเสียใจ เมื่อคนรู้จักได้รับความเสียใจ เช่น เมื่อเจ็บป่วย หรือญาติมิตรเสียชีวิต

28.เขียนคำชมเชยหรือมอบรางวัล แก่คนที่ให้บริการดีเป็นพิเศษ พนักงานบริการ แม่ครัว หรือยาม โดยอาจส่งผ่านไปทางผู้จัดการ เพื่อเขาจะได้นำไปประกาศชมเชย หรือให้รางวัลต่อ

29.เขียนจดหมายชมเชยการกระทำความดีเป็นพิเศษที่ได้พบเห็นในที่สาธารณะ ผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์เพื่อเป็นตัวอย่างของบุคคลอื่น แล้วส่งไปลงข่าวหนังสือพิมพ์หรือวิทยุ (เช่น วิทยุร่วมด้วยช่วยกัน หรือ จส. 100)

30.เขียนป้ายเตือนอันตรายติดไว้ในที่เหมาะสม เพื่อมิให้ผู้อื่นเป็นอันตราย เช่น ระวังพื้นลื่น ระวังผึ้งต่อย ระวังหมาดุ ระวังไฟดูด ระวังคนล้วง-กรีดกระเป๋า

31.ดูชื่อเพื่อนเก่าในหนังสือรุ่น หรือรูปญาติในรูปเก่าๆ แล้วเขียนจดหมาย ต่อโทรศัพท์ถึง หรือส่งบัตรอวยพรปีใหม่



ปิด

32.ปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ ขณะที่ไม่ควรพูดโทรศัพท์ เช่น อยู่ในห้องประชุม รับแขก อยู่กับผู้ใหญ่ อยู่ในพิธีการ หรืองานศพ

33.ปิดหรือหรี่ เสียงดัง จากวิทยุโทรทัศน์ ที่อาจไปรบกวนเพื่อนบ้านข้างเคียง เขาอาจไม่ชอบเพลงชนิดที่เราชอบฟังก็ได้

ทำ

34.เลื่อนจานอาหารไปให้คนอื่นที่เอื้อมไม่ถึง โดยไม่ต้องรอให้เขาขอร้อง

35.หาทางปลอบใจคนที่กำลังมีความทุกข์ เช่น มีคนในครอบครัวเสียชีวิต ใช้วิธีปลอบว่า พระพุทธเจ้ายังมีปรินิพาน มนุษย์ก็ต้องมีความตายเป็นธรรมดา

36.ทำความประหลาดใจให้แก่บางคน ด้วยการใช้ความพยายามเป็นพิเศษในการหาสิ่งของที่เขาต้องการมาก แต่เขาไม่สามารถหาได้ ด้วยวิธีปกติธรรมดา แล้วจัดส่งไปให้ เช่น ผลไม้นอกฤดูกาล ของที่ต้องการอย่างรีบด่วน ของที่ต้องสั่งทำพิเศษ หรือของที่หายาก ไม่มีจำหน่ายในท้องตลาด

37.พยายามทำศัตรูให้กลายเป็นมิตร ด้วยการให้ของขวัญ การพูดคุย การเป็นเพื่อน การเห็นอกเห็นใจ การไม่เอาเปรียบ และการยอมลดราวาศอกกันบ้าง

38.ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ทำให้ผู้รับบริการเกิดความพอใจด้วยความเต็มใจ

39.ทำความประทับใจด้วยบริการที่เป็นพิเศษกว่าธรรมดา เช่นที่โรงแรมโอเรียลเต็ล กรุงเทพฯ นั้น พนักงานโรงแรมจะสร้างความประทับใจโดยการทักทายเรียกชื่อแขกที่มาพักทุกคนได้ และหาข้อมูลว่าลูกค้าชอบอะไรจากการสังเกตสิ่งที่เขากิน เขาใช้ในวันแรก

ช่วยเหลือคนที่รู้จัก


40.สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว โดยเล่นกับลูก ช่วยน้อง หรือลูกทำการบ้าน พยายามลดงานประจำวันในวันหยุด เพื่อจะได้มีเวลาสำหรับสร้างความอบอุ่นในครอบครัว พาลูกหลานครอบครัวไปเที่ยวด้วยกันอย่างน้อยปีละครั้ง

41.ช่วยรับคนที่รู้จักกันขึ้นรถ เมื่อจะไปทางเดียวกัน หรือจะกลับบ้านทางเดียวกัน ชวนคนข้างบ้านที่ไม่มีรถ นั่งรถไปซื้อของที่ตลาดพร้อมกัน

42.ทักทาย แนะนำตัวทำความรู้จักกับเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะผู้ที่ย้ายมาใหม่ เช่นแนะนำเรื่องรถขยะ เรื่องการเก็บค่าไฟฟ้า ประปา

43.ส่งอาหารหรือผลไม้ไปให้เพื่อนบ้าน เป็นครั้งคราว

44.ให้คนสวนกวาดใบไม้หน้าบ้านของเพื่อนบ้านด้วย

45.ชวนเพื่อนบ้านและลูกของเพื่อนบ้านไปเที่ยวด้วยกันในวันหยุด

46.รับฝากดูแลเด็กเล็กข้างบ้าน เมื่อพ่อแม่ของเด็กไม่อยู่ ชวนลูกเพื่อนบ้านที่พ่อแม่กลับบ้านดึก มาดูแลก่อนพ่อแม่กลับ ชวนมาเล่นที่บ้านเล่านิทาน ให้อ่านหนังสือการ์ตูน ทำการบ้าน (ระวังแจ้งพ่อแม่เด็กให้ทราบเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด)

47.ให้ความสนใจกลุ่มเยาวชนในหมู่บ้าน ถ้าขาดกิจกรรมที่เล่นที่พักผ่อน ควรรวมกลุ่มชาวบ้านหารือกันกันเพื่อช่วยเหลือ ถ้าทำเองไม่ได้ควร ติดต่อกลุ่มที่สามารถช่วยได้ หรือจะเขียนจดหมายถึงอำเภอ/หนังสือพิมพ์/โทรทัศน์ หาผู้มีจิตศรัทธาช่วยเหลือ ช่วยป้องกันยาเสพติดในหมู่บ้าน

48.ไปเยี่ยมคนแก่ที่อยู่ใกล้บ้านเดือนละครั้ง

49.จ่ายเงินค่าอาหารหรือเครื่องดื่มให้เพื่อนร่วมงานเป็นครั้งคราว อย่าให้เขาเลี้ยงฝ่ายเดียว

50.ช่วยคนขาดแคลน ถ้ารู้ว่าคนรู้จักคนหนึ่งขาดแคลนเงินมาก ลองใส่ธนบัตรใบละร้อย หรือห้าร้อย ส่งทางไปรษณีย์ไปให้เขา โดยไม่ต้องบอกว่าส่งมาจากใคร

51.ตัดหนังสือพิมพ์ส่งไปให้คนรู้จัก เพราะว่ามีข่าวของเขา หรือมีเรื่องที่เขาน่าจะสนใจ

52.ส่งอาหารเครื่องดื่ม หรือขนมไปให้เจ้าหน้าที่บริการประชาชน เช่น ตำรวจสายตรวจที่มาหน้าบ้าน พนักงานดับเพลิง บุรุษไปรษณีย์ ยามหมู่บ้าน หรือพนักงานขยะ

53.ซื้อตั๋วดูภาพยนตร์/ดนตรี/กีฬา หรือหนังสือการ์ตูนให้เด็กข้างบ้าน

54.เมื่อเห็นว่าของบางอย่างเหมาะสมสำหรับบางคนที่รู้จัก ควรซื้อ หรือหาไปฝากเขา

55.ส่งหนังสือวารสารที่อ่านแล้วไปให้คนที่เราคิดว่าเขาต้องการ หรือบริจาคให้ห้องสมุดกรมการศึกษานอกโรงเรียน เพราะดีกว่าชั่งกิโลขาย

56.จ่ายเงินค่าสมัครสมาชิกวารสารที่เหมาะสมส่งไปให้โรงเรียนเก่า
57.หาของฝากหรือของขวัญปีใหม่ไปให้คนที่ติดต่อประจำ เช่น แม่ค้าขายผลไม้ แม่ครัวร้านอาหาร ช่างตัดผม คนขับรถ หรือภารโรง

58.หาของขวัญของฝากให้ลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงาน เช่น บัตรกินอาหารฟรี บัตรลดราคา บัตรเติมน้ำมันฟรี บัตรดูละครการแสดง หรือตั๋วทัศนาจร แจกเงินหรือขนมให้ลูกของเพื่อนร่วมงานที่มารอพ่อแม่ที่ที่ทำงานหลังเลิกเรียน

59.มอบจักรยาน ลูกฟุตบอล หรือขลุ่ย แทนพวงหรีดในงานศพ เพื่อเจ้าภาพจะได้นำไปมอบให้เด็กบ้านไกลโรงเรียนในชนบท หรือมอบผ้าไตรแทนพวงหรีดในงานศพ เพื่อเจ้าภาพจะได้นำไปถวายพระ หรือใช้ในการอุปสมบทพระใหม่

60.ชดใช้หนี้ให้ลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงานที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว หรือให้ยืมเงินไม่เสียดอกเบี้ย โดยหวังจะให้เขามีกำลังใจในการสู้ชีวิต และทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อไป (ระวังอย่าเป็นนายประกัน)

ช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จัก

61.ช่วยทุกคนที่ประสบความยากลำบาก มีปัญหา มีความทุกข์ เช่นคนหลงทาง คนกำลังหิว คนที่กระหายน้ำ คนกำลังประสบอุบัติเหตุ

62.ส่งเงินและสิ่งของไปช่วยคนที่ประสบสาธารณะภัย เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้

63.บอกเตือนสิ่งผิดปกติของคนอื่น เช่น ยางรถแบน ซิปกางเกงไม่ได้รูด (เขียนใส่กระดาษไปบอก)

64.ช่วยจับประตูที่เปิดเดินออกไปแล้ว เพื่อไม่ให้ตีคนที่กำลังตามมาข้างหลัง

65.ช่วยชี้ทาง นำทาง ให้คนต่างถิ่นมาถามทาง หากอยู่ใกล้ๆ พอนำไปส่งได้จะวิเศษมาก

66.ช่วยคนที่กำลังหาของที่หาย หาไม่พบ หรือเมื่อเก็บของได้ส่งคืนเจ้าของ

67.ช่วยถือของให้คนที่หอบของพะรุงพะรัง (แต่ควรระวังอย่าถือของให้คนไม่รู้จักที่นำมาฝาก เพราะอาจมีของที่ขโมยมา หรือยาเสพติดอยู่ในถุงนั้น ทำให้ต้องตกเป็นผู้ต้องหาได้ ไม่ควรรับฝากของใครไปต่างประเทศ)

68.ช่วยคนที่กำลังจะเอื้อมหยิบของบนชั้นสูงไม่ถึง (ระวังของตกใส่หัว หรือของหนักเกินกำลัง เวลายกของต้องใช้กำลังขา อย่างอหลัง มิฉะนั้นจะปวดหลังไปนาน เพราะกระดูกสันหลังอาจเคลื่อน หรืออักเสบ)

69.ช่วยเข็นรถยนต์ของคนอื่นที่เครื่องเสีย ต้องหลบเข้าข้างทาง (ระวังถูกรถที่ผ่านไปมาชนเอา)

70.หาดอกไม้หรือของไปฝากคนป่วยไม่รู้จัก ที่ไม่ค่อยมีคนเยี่ยม เมื่อไปที่โรงพยาบาล มอบกระดาษเขียนจดหมาย ปากกา และซอง พร้อมแสตมป์ให้ผู้ป่วยที่อยู่โรงพยาบาลนานๆ เพื่อเขียนจดหมายถึงญาติมิตร (ผู้ป่วยที่อยู่โรงพยาบาลนานๆ มักมีคนมาเยี่ยมน้อย)

71.ช่วยนำคนเจ็บหรือผู้ประสบอุบัติเหตุส่งโรงพยาบาล (ระวังต้องยกตัวในท่าที่ถูกต้อง มิฉะนั้น อาจทำให้เป็นอัมพาต และควรหาพยานที่จะยืนยันว่าท่านมิใช่ต้นเหตุของอุบัติเหตุไว้ด้วย)

72.ช่วยผายปอดคนตกน้ำ (ระวังไม่ควรลงไปช่วยคนตกน้ำในน้ำ หากไม่เก่งจริง เพราะอาจถูกดึงให้จมไปด้วยกัน ควรโยนเชือกหรือวัตถุลอยน้ำให้)

73.ช่วยแนะนำหางานให้ตกงาน (ระวังไม่ควรลงนามรับประกันความเสียหาย หรือประกันเงินกู้ให้ผู้อื่น เพราะถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ นายประกันอาจต้องตามไปชดใช้หนี้ภายหลัง)

74.แนะนำวิธีประกอบอาชีพ หรือฝึกอาชีพให้คนที่ต้องการอาชีพ โดยอาจจัดอบรม นำวิธีทำมาหากินส่งไปให้

75.จัดงานเชิญเด็ก คนชรา คนพิการ มาสนุกสนาน หรือไปเที่ยวในวันสำคัญ เช่น วันสงกรานต์ วันเฉลิมพระชนมพรรษา หรือวันสถาปนาหน่วยงาน เดินทางไปเยี่ยมบ้านคนชราบ้านเด็กกำพร้า หรือเด็กพิการ เพื่อเลี้ยงอาหาร และนำของไปเยี่ยม เน้นผู้ที่ไม่ค่อยมีคนมาเยี่ยม ไปอ่านหนังสือให้คนแก่ฟัง เล่นดนตรี หรือเล่านิทานให้เด็กฟัง

76.ไปเยี่ยมบ้านแรกรับเด็กอ่อน บ้านราชวิถี บ้านกรุณา บ้านมุทิตา บ้านอุเบกขา เพื่อเยี่ยมเด็กที่ขาดผู้อุปการะ หรือ เด็กที่เคยกระทำความผิดซึ่งไม่ค่อยมีคนมาเยี่ยม เพราะอีกไม่นานเขาจะได้ออกไปอยู่ร่วมกับสังคม ถ้าเขาได้น้ำใจไมตรีที่ดี อาจกลับตัวเป็นคนดีได้ (หากจะไปเยี่ยมนักโทษภายในเรือนจำ ต้องระวังถูกจับเป็นตัวประกัน)

77.ช่วยป้องกัน หรือห้ามปราม คนที่กำลังจะทะเลาะวิวาทโกรธเคืองกัน หรือจะทำร้ายกัน แต่ต้องระวังลูกหลง (พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญคนที่ช่วยให้คนที่ทะเลาะกันกลับคืนดีได้ เหมือนที่ทรงห้ามพระญาติไม่ให้ทะเลาะกันคราวแย่งน้ำแม่น้ำโรหิณี)

78.สนับสนุนช่วยเหลือหน่วยงานที่สร้างประโยชน์ต่อสังคม เช่นกาชาด วิทยุร่วมด้วยช่วยกัน มูลนิธิร่วมกตัญญู ลูกเสือชาวบ้าน โรตารี่ ไลออนส์ เป็นต้น

79.จัดกลุ่มอาสาสมัครช่วยทำงานส่วนรวมนอกเหนือหน้าที่ปกติ เช่นกลุ่มฮักเมืองน่าน กองลูกเสือนอกโรงเรียนวชิรชัย ชมรมอาชีวะบำเพ็ญประโยชน์ แล้วหากิจกรรมไปทำ เช่น ไปทาสีลบรอยขีดเขียนตามกำแพง (ที่เขียนว่าใครเป็นบิดาใคร ฯลฯ) เก็บเศษแก้วของมีคมตามหาดทรายชายทะเล เพื่อป้องกันคนอื่นมาเหยียบเท้าทำให้บาดเจ็บ

80.สนับสนุนช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางสังคม เช่น บริจาคเงินหรือเวลาช่วยมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ โรงพยาบาลอาสากาชาด โรงเรียนสอนคนตาบอด โรงเรียนสอนคนพิการ บ้านราชวิถี บ้านแรกรับเด็กอ่อน บ้านเมตตา กรุณา หรือรับคนตาบอดมาเป็นพนักงานโทรศัพท์


ยอม/เสียสละ/ให้

81.เมื่อเข้าห้องน้ำ ควรหยิบกระดาษเช็ดอ่างน้ำ หรือเช็ดที่นั่งส้วมให้สะอาดก่อนออกไป เพื่อให้คนที่มาใช้ทีหลังจะได้เข้าห้องน้ำสะอาด

82.เมื่อเข้าคิวกดเงินจากเอทีเอ็ม จ่ายเงินตามซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือที่โรงพยาบาล ถ้าไม่รีบร้อนนัก เชิญให้คนที่รอข้างหลังที่รีบเร่งกว่าได้ใช้บริการก่อน

83.เมื่อขับรถติดอยู่แต่ไม่รีบเร่งมากนัก โบกมือยอมให้คันหลังที่รีบเร่งกว่าแทรกเข้าหน้าไปได้ก่อน

84.เมื่อเข้าคิวส้วม ยอมให้คนข้างหลังที่ปวดมากกว่าได้เข้าส้วมไปก่อน

85.ออกเงินซื้ออาหาร เช่นข้าวหน้าเป็ดให้ขอทานที่หิวโซ

86.ออกเงินให้คนที่ไม่มีเงินหยอดโทรศัพท์สาธารณะ หรือเข้าส้วมสาธารณะที่ต้องจ่ายเงิน โดยทิ้งเหรียญบาทที่เหลือไว้ในช่องทอนเงิน

87.หาของขวัญปีใหม่ หรือของขวัญวันเกิดให้คนที่ไม่เคยได้รับอะไรเลยเมื่อปีก่อน

88.ส่งของขวัญให้คนที่เห็นแก่ตัวไม่คิดคนอื่น โดยไม่ให้รู้ว่าใครส่งมา

89.ให้ความเห็นใจ ปลอบใจ คนที่กำลังมีความทุกข์ กลุ้มใจหาทางออกไม่ได้

90.บริจาคโลหิต ดวงตา อวัยวะหรือเงิน ให้สภากาชาดไทย หรือโรงพยาบาลต่างๆ และชวนให้คนอื่นบริจาคด้วย


มีความเกรงใจ

91.เมื่อโทรศัพท์ไปถึงใคร ควรถามว่าเขากำลังยุ่งอยู่หรือเปล่า ถ้าเขากำลังมีธุระควรถามว่า จะให้โทรกลับอีกเมื่อไหร่

92.เมื่อมีคนโทรศัพท์มาถึงและฝากหมายเลขไว้ ควรรีบโทรกลับทันทีเมื่อสะดวก

93.ไม่ขอหรือยืมเงิน ของรักของหวงของเพื่อน หรือ ของที่อาจทำให้เพื่อนลำบากใจ เช่น รถยนต์ หรือปืน

94.เมื่อยืมของจากผู้ใด ต้องรีบคืนทันทีเมื่อเสร็จงาน ไม่ต้องรอให้ทวง


น้ำใจของเด็กเล็ก

เด็กๆ สามารถมอบน้ำใจไมตรีให้ผู้อื่นได้เหมือนกับผู้ใหญ่ได้ ตัวอย่าง เช่น

95.ยิ้มหวาน และพูดเพราะกับทุกคน

96.ทักทาย ไหว้ สวัสดี ผู้ใหญ่อย่างเหมาะสม

97.เก็บเสื้อผ้า และของเล่นในห้องตนให้เรียบร้อย ไม่ต้องให้คนอื่นมาตามเก็บให้ทำเตียงตนเอง กวาดห้องตนเอง

98.รักษาความสะอาดห้องน้ำ ทิ้งขยะลงถัง ไม่ทิ้งสิ่งสกปรกลงพื้น ถนน หรือแม่น้ำลำคอลง

99.ช่วยทำงานบ้าน เช่น ช่วยแม่ล้างจานกวาดบ้าน เช็ดสิ่งสกปรกที่พื้น ไม่ทำบ้านรก

100.มอบน้ำใจให้ทุกคนในบ้าน เช่น ยกน้ำเย็นไปให้พ่อ แบ่งขนมให้น้อง เล่นกับน้อง ช่วยสอนน้องทำการบ้าน สอนน้องอ่านหนังสือ ช่วยน้องผูกเชือกรองเท้า ติดกระดุมเสื้อ และหวีผมให้น้อง

101.ยอมให้พ่อดูข่าวโทรทัศน์ขณะที่ตนอยากดูการ์ตูน

102.ร้องเพลงให้คุณย่าฟัง อ่านหนังสือพิมพ์ นวดขาให้คุณยาย

103.เขียนจดหมายพร้อมส่งรูปถ่ายไปให้ญาติผู้ใหญ่

104.ช่วยปลอบเพื่อนที่ร้องไห้ หรืออยู่ในภาวะเสียใจ

105.พาเพื่อนที่ไม่สบายไปห้องพยาบาล

106.แบ่งขนมให้เพื่อน เพื่อกินด้วยกัน ไม่กินคนเดียว

107.ช่วยครูยกสมุดการบ้านไปห้องพักครู

108.ตั้งใจทำตัวเป็นเด็กดีที่มีน้ำใจ


เรียบเรียงข้อมูลจาก
thaiparents

ที่มาข้อมูล: หนังสือ "108 วิธีมอบน้ำใจให้แก่กัน"
โดยสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ

ความหมายบนเลขบัตรประชาชน

ตัวเลขบนบัตรประชาชนมีความหมายว่าอย่างไร

เลข 13 หลัก แบ่งออกเป็น 5 ส่วน คือ

ส่วนที่ 1 มี1 หลัก หมายถึง ประเภทของบุคคล ซึ่งมี 8 ประเภท

ส่วนที่ 2 มี4 หลัก หมายถึง สำนักทะเบียนที่ออกเลขประจำตัวให้กับประชาชน

ส่วนที่ 3 และส่วนที่4 รวมกัน มี 7 หลัก หมายถึง ลำดับที่ของบุคคลในแต่ละประเภทของแต่ละสำนักทะเบียน

ส่วนที่ 5 มี1 หลัก หมายถึง เลขตรวจสอบความถูกต้องของเลขประจำตัวประชาชนทั้งหมด

เลขบัตรประชาชนแต่ละหลักหมายความว่าอย่างไร

ประเภทของบุคคลที่อยู่ในทะเบียนราษฎร แบ่งออกเป็น 8 ประเภท คือ

ประเภทที่ 1 ได้แก่ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งการเกิดภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนด

ประเภทที่ 2 ได้แก่ คนที่เกิด และสัญชาติไทย ได้แจ้งการเกิด เกินกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนด

ประเภทที่ 3 ได้แก่ คนไทยและคนต่างด้าวที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวซึ่งมีชื่อแต่ละรายการบุคคลในทะเบียนบ้านก่อนวันที่31 พ.ค. 2527

ประเภทที่ 4 ได้แก่ คนไทยและคนต่างด้าวที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวและได้มีการย้ายเข้าในทะเบียนบ้านขณะยังไม่มีเลขประจำตัว(ระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 31 พฤษภาคม 2527)

ประเภทที่ 5 ได้แก่ คนไทยและคนต่างด้าวที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวที่ได้อนุมัตให้เพิ่มชื่อและรายการบุคคลเข้าในทะเบียนบ้าน

ประเภทที่ 6 ได้แก่ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายในลักษณะชั่วคราวและคนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ประเภทที่ 7 ได้แก่ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย

ประเภทที่ 8 ได้แก่ บุคคล ต่างด้าว ที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่น ที่อยู่ในประเทศไทยหรือบุคคลที่ได้รับสัญชาติ


ข้อมูลผู้หญิงนะคะดอทคอม

10 ประเทศที่มี 7-Eleven มากที่สุด

กลายเป็นแฟรนไชส์ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกแล้ว สำหรับ 7-Eleven แต่ประเทศที่มีสาขามากที่สุดกลับอยู่ในเอชียไม่ใช่ยุโรป

เซเว่น อีเลฟเว่น ถือกำเนิดขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2470 โดย บริษัท เซาท์แลนด์ ไอซ์ จำกัด (เซาท์แลนด์ คอร์ปอเรชั่น) เริ่มต้นกิจการผลิต และจัดจำหน่ายน้ำแข็ง ที่เมืองดัลลัส มลรัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา ในปีเดียวกัน ทางบริษัทฯ ได้นำสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ มาจำหน่าย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า จึงเปลี่ยนชื่อเป็น Tote'm Store ต่อมาในปี พ.ศ. 2489 ได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้ง เป็น เซเว่น-อีเลฟเว่น (7-Eleven) เพื่อรองรับการขยายกิจการนี้ ซึ่งในระยะแรก เปิดให้บริการ ตั้งแต่เวลา 07.00-23.00 น. ของทุกวัน อันเป็นที่มาของชื่อ เซเว่น อีเลฟเว่น นั่นเอง

ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1980 บริษัทเริ่มประสบปัญหาทางการเงิน และได้รับความช่วยเหลือจากอิโต-โยคะโดซึ่งเป็นผู้ซื้อแฟรนไชส์รายใหญ่ที่สุด บริษัทญี่ปุ่นมีอำนาจควบคุมบริษัทในปี พ.ศ. 2534 ในปี พ.ศ. 2548 อิโต-โยคะโดก่อตั้งบริษัทเซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิงส์และเซเว่น อีเลฟเว่นก็กลายเป็นบริษัทลูกของเซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิงส์ตั้งแต่นั้นมา

ในส่วนของประเทศไทย แฟรนไชส์ เซเว่น อีเลฟเว่น บริหารโดย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ บมจ.ซีพี ออลล์ (เดิมคือ บมจ. ซี.พี. เซเว่นอีเลฟเว่น) บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยได้ลงนามในสัญญา ซื้อสิทธิการประกอบกิจการ จากเจ้าของสิทธิ์ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531

เซเว่น อีเลฟเว่น สาขาแรกในประเทศไทย คือ สาขาถนนพัฒน์พงศ์ ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนนพัฒน์พงษ์ เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2532 ปัจจุบันมีจำนวนสาขาประมาณ 5,123 สาขา (ข้อมูล ณ วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552) เฉพาะในกรุงเทพมหานคร มีมากกว่า 3,000 สาขา ซึ่งถือว่ามากเป็นอันดับ 4 รองจากญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และไต้หวัน ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังถือเป็นร้านค้าปลีกที่มีเครือข่ายมากที่สุด โดยมียอดขายเฉลี่ย 65,019 บาท ต่อวันต่อสาขาซึ่งเป็นธุรกิจที่ำทำกำำไรดีต่อวันมากที่สุดของประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 333,092,337 บาท รวม 5,123 สาขาทั่วประเทศ

สำหรับประเทศที่มี 7-Eleven มากที่สุดคือ
อันดับ 10 ประเทศสิงคโปร์ มี 435 สาขา
อันดับ 9 ประเทศแคนาดา มี 462 สาขา
อันดับ 8 ประเทศสหรัฐอเมริกา มี 586 สาขา
อันดับ 7 ประเทศเม็กซิโก มี 969 สาขา
อันดับ 6 ประเทศมาเลเซีย มี 1,013 สาขา
อันดับ 5 ประเทศจีน มี 1,440 สาขา
อันดับ 4 ประเทศเกาหลีใต้ มี 1,995 สาขา
อันดับ 3 ประเทศไทย มี 4,778 สาขา
อันดับ 2 ประเทศไต้หวัน มี 4,800 สาขา
อันดับ 1 ประเทศญี่ปุ่น มี 12,105 สาขา

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

วิธีเขียนจดหมายรักที่ได้ผลแน่นอน !!


ผมชอบคุณมากๆเลย พูดได้ว่าถึงขั้นรักคุณเข้าแล้วนะ
เวลาอยู่กับคุณทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

เพราะฉะนั้นผมถึงเขียนจดหมายฉบับนี้ให้คุณ หวังว่าคุณจะยอมรับความรักของผม
อยู่เคียงคู่ผมไปจนชั่วฟ้าดินสลาย…

แต่ว่า คุณยังไม่ต้องรีบตอบผมก็ได้ ผมจะเล่าเรื่องบางเรื่องให้คุณฟังก่อน…

เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้วได้มั้ง มีผู้หญิงผู้โชคดีคนหนึ่งดังเช่นคุณ
ได้รับจดหมายรักจากผมฉบับหนึ่งเช่นเดียวกันกับคุณ…

ในตอนนั้นเธอตอบผมว่า “ขอโทษนะ ฉันรู้สึกว่าคุณกับฉันไม่สามารถเป็นไปได้มากกว่าเพื่อน”
ผมเสียใจมากเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้ ผมจึงหั่นเธอออกเป็นท่อนๆเก็บไว้ในตู้เย็นที่บ้านผม…

และก็ 4 ปีก่อน ผมหนีออกมาจากความเศร้าเมื่อ 5 ปีก่อนนั้นได้แล้ว
และเขียนจดหมายหนึ่งฉบับให้แก่หญิงสาวผู้โชคดีอีกคนหนึ่ง…

คำตอบของเธอคือ “ฉันมีแฟนอยู่แล้ว”

ผมจึงนัดแฟนเธอออกมาเจรจากันตัวต่อตัว
เมื่อเขาเผลอ ผมจึงใช้ก้อนอิฐทุบหัวเขาจนตายแล้วยัดไว้ในถังใส่ปูนซีเมนต์ทิ้งลงทะเลไป
หลังจากนั้น ผมก็ใช้ยาพิษฆ่าเธอตาย แล้วแช่ฟอร์มาลีน เก็บร่างเธอไว้ในห้องใต้ดินบ้านผม…

3 ปีก่อน ผมหาแฟนสาวได้คนนึง แต่ไม่นานเธอก็โวยวายขอเลิกกับผม
ผมไม่ต้องการให้เธอจากไป จึงใช้เชือกรัดคอเธอตายแล้วผูกไว้ที่เพดานบ้านผม…
หลังจากนั้น ผมรู้สึกว่าผมไม่เหมาะที่จะมีคนรักได้ จึงปิดหัวใจตัวเองไว้

เวลาผ่านมาได้ 2 ปี ผมได้พบกับคุณ คุณได้เปิดหัวใจอันว้าเหว่ของผมแล้ว...
ตอนนี้ คุณสามารถตัดสินใจตอบผมได้แล้ว


คุณรักผมไหม?

"กุยช่าย"บำรุงน้ำนมแม่

ปัจจุบันกระแสการดูแลรักษาสุขภาพเป็นที่นิยมมากขึ้น เมื่อหลายคนหันมาใส่ใจรับประทานผักชนิดต่าง ๆ เพื่อป้องกันโรคกันอย่างแพร่หลาย “กุยช่าย” เป็น ผักใบเขียวอีกชนิดหนึ่ง ที่น่าสนใจ เนื่องจากสามารถนำมาดัดแปลงทำเป็นขนมกุยช่าย หรือปรุงอาหารก็ให้กลิ่นหอมน่ารับประทาน และนอกจากจะมีสรรพคุณทางสมุนไพรแล้วยังมีสารอาหารต่าง ๆ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่อร่างกายเราอีกด้วย โดยเฉพาะคุณแม่ที่ต้องให้น้ำนมแก่ลูก

กุยช่าย หรือดอกไม้กวาด เป็นไม้ล้มลุกสูงประมาณ 30-45 ซม. มีเหง้าเล็กและแตกกอ ใบแบน เรียงสลับ รูปขอบขนาน โคนเป็นกาบบางซ้อนสลับกัน ช่อดอกแบบซี่ร่ม ก้านช่อดอกกลมตัน ดอกสีขาว กลิ่นหอม คนส่วนใหญ่นิยมรับประทานกุยช่ายแบบสด ๆ กับก๋วยเตี๋ยวผัดไทยหรือข้าวผัดหรือนำมาปรุงอาหาร เช่น ผัดกับตับหมูก็หอมหวานอร่อย รวมทั้งสามารถนำมาทำเป็นขนมกุยช่ายที่เราชอบรับประทานกันอีกด้วย

นอกจากรสชาติที่หอมหวาน อร่อยแล้ว กุยช่ายยังมีสรรพคุณทางสมุนไพรในการรักษาโรค เช่น แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม และแก้ท้องผูก โดยใช้ใบสดตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือนำไปผัดรับประทาน เพราะกุยช่ายมีใยอาหารมาก จึงช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวได้ดี แก้อาการฟกช้ำ ใช้ใบสดตำละเอียด พอกบริเวณที่เป็น บรรเทาปวดและแก้อาการห้อเลือดได้ แก้อาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย ใช้เมล็ดแห้งต้มรับประทาน รักษาโรคหูน้ำหนวก ใช้น้ำที่คั้นได้จากใบสดทาในรูหู

ส่วนสารอาหารที่ดีมีประโยชน์ในกุยช่ายมีมากมาย ดร.อุรุวรรณ แย้มบริสุทธิ์ นักวิจัยทางด้านโภชนาการ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความรู้ว่า สารอาหารที่เด่น ๆ ในกุยช่าย มี 3 ตัว ได้แก่ วิตามินเอ ช่วยในการมองเห็น ซึ่งวิตามินเอเป็นส่วนประกอบของสารอาหารจอตา เซลล์เยื่อบุต่าง ๆ และสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้เจ็บป่วย ธาตุเหล็ก ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง และเป็นส่วน ประกอบของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ซึ่งทำหน้าที่ในการนำออกซิเจน จากปอดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่าง กาย และช่วยขจัดก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์ออกจากร่างกาย

โดยคุณแม่ที่ให้นมบุตรสามารถรับประทานกุยช่ายเพื่อบำรุงน้ำนม ร่วมกับการรับประทานอาหารชนิดอื่น ๆ ที่บำรุงน้ำนมได้ เช่น หัวปลี สามารถนำมาทำแกงเลียงรับประทาน และนอกจากนี้ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พร้อมกับการนวดเต้านมเพื่อกระตุ้นน้ำนมและให้ลูกน้อยดูดนมบ่อย ๆ และโปรตีน มีในกุยช่าย 3 กรัมต่อ 1 ขีด การที่คุณแม่จะ ให้นมบุตรต้องรับประทานอาหารที่มี โปรตีนด้วย แต่ขอแนะนำให้ทาน โปรตีนจากเนื้อสัตว์หรือถั่วต่าง ๆ สลับ กันไปด้วยก็จะทำให้คุณแม่มีน้ำนม เพียงพอให้ลูกน้อยดื่มกินได้

ทราบคุณประโยชน์ของกุยช่ายกันขนาดนี้แล้วใครที่ยังลังเล กลัวกลิ่นฉุน ๆ อยู่ละก็เปลี่ยนใจหันมาลองรับประทานกุยช่ายดูบ้างนะคะเพื่อสุขภาพที่ดีของ ตัวเราและคนที่เรารัก

เรื่องไข่ๆ กินแค่ไหนถึงจะพอดี

ไข่ฟองกลมๆ เหล่านี้จะช่วยรักษารูปร่างคุณให้ดี หรือส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณกันแน่

น้อยกว่า 3 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ไม่เพียงพอ
การไม่ทานไข่อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้นะ ไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีปริมาณวิตามินบี 12 ซึ่งดีต่อร่างกายมากกว่าปริมาณมาตรฐานที่แนะนำ ให้บริโภคต่อวันเสียอีก "วิตามินบี 12 จำเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาท" อะแมนดา เออร์เซลล์ นักโภชนาการและผู้เขียนหนังสือ Complete Guide to Healing Foods กล่าว "ถ้าขาดวิตามิน เส้นใยประสาทอาจถูกทำลายจนฟื้นฟูกลับคืนมาไม่ได้"

นอกจากนี้ ไข่ยังดีต่อสายตาคุณโดยเมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่ม ขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีนซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ ในไข่แดงจะช่วยบำรุงจอประสาทตานั่นเอง

6 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ปริมาณที่พอดี
ไข่เจียวถือเป็นยาบำรุงร่างกายได้เลย เพราะนอกจากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณสารซีลีเนียมและวิตามินอี ในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบ จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าได้ถึง 65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน

"โปรตีน ในไข่จะทำให้คุณรู้สึกอิ่มขึ้น ถึง 50 เปอร์เซนต์ และยังทำให้คุณลดปริมาณมื้อเที่ยงที่ทานโดยเฉลี่ยได้อีก 164 แคลอรี่" นิคิล ดูเรนดาร์ ผู้เขียนงานวิจัยกล่าว แต่ถ้าคุณอยากสร้างกล้ามเนื้อก็ไม่ต้องกังวล เพราะงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทกซัสเอแอนด์เอ็ม พบว่า การทานไข่วันละ 3 ฟอง เป็นเวลา 2 วัน ต่อสัปดาห์จะช่วยหนุ่มนักเล่นเวตทั้งหลายสร้างกล้ามเนื้อที่ปราศจากไขมันได้ เป็น 2 เท่าในช่วงเวลา 12 สัปดาห์ แล้วเรื่องคอเลสเตอรอลที่เล่าลือกันล่ะ "จริงค่ะ ไข่มีคอเรสเตอรอล" พาเมลา ไดสัน นักโภชนาการแห่งสมาคมโภชนาการประจำสหราชอาณาจักร กล่าว

"แต่จัดว่ามี ผลน้อยมากต่อการเพิ่มระดับคอลเรสเตอรอลในเลือด เมื่อเทียบกับปริมาณไขมันอิ่มตัวที่คุณบริโภคอยู่ทุกวัน" นอกจากนี้ผลการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ของมหาวิทยาลัยคอนเนติคัตยัง พบว่า การทานไข่ช่วยลดคอเรสเตอรอล LDL (ไม่ดี) เพิ่มคอเรสเตอรอล HDL (ดี) และลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมองได้


6 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ปริมาณที่พอดี
ตามรายงานที่ตีพิมพ์ใน วารสาร American Journal of Clinical Nutrution ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้านได้เหมือนกัน ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดกัน ทุกวัน "ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ทำให้มีอันตรายถึงชีวิต ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซนต์" ดร.ไมเคิล กาเซียโน แห่งคณะแพทยศาสตร์ของฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นผู้เขียนรายงานการวิจัย กล่าวว่า ที่สำคัญคือ สำหรับหนุ่มที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไข่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ ดังนั้นคำพูดที่ว่าทานไข่วันละฟองอาจทำให้คุณไม่ป่วยไข้และห่างไกลหมอ ข้อนี้เฉพาะในกรณีที่คุณตรวจสุขภาพเป็นประจำ และร่างกายแข็งแรงอยู่แล้วเท่านั้น


ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากนิตยสาร Men's Health

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

สร้างสมาธิในการทำงาน

เคล็ดลับในการสร้างสมาธิในการ ทำงาน

เลือกงานหิน

เลือกงานหินขึ้นมาหนึ่งงาน (ควรเป็นงานที่สำคัญที่สุดที่ต้องทำก่อน) แล้วตัดสินใจว่าจะทำให้เสร็จในรวดเดียว หรือว่าจะจำกัดเวลาเป็นเวลาเท่าไหร่ (เช่น ทำ 30 นาทีแล้วหยุดพัก)

สร้างพื้นที่การทำงาน

ก่อนเริ่มงานกำจัดทุกอย่างที่จะดึงความสนใจจากงานตรงหน้าออกให้หมด เช่น ปิดหน้าจอ ปิดมือถือเสียด้วย

เสียงเตือนตั้งนาฬิกาปลุก

หรือถ้าตั้งใจว่าจะทำไปจนกว่างานนั้นจะเสร็จ ก็พยายามทำสมาธิ อย่าพะวงเรื่องอื่นก่อนถึงกำหนดเวลา

เมื่อโดนขัดจังหวะจากงานอื่น

ถ้าเลี่ยงไม่ได้ให้จดโน้ตไว้ก่อน แล้วค่อยกลับมาจัดการทีหลัง


เกิดวอกแว่กอยู่ๆ

ดันอยากเช็คอีเมลขึ้นมา หรืออยากไปทำอย่างอื่นแทน ลองหายใจลึกๆ แล้วตั้งใจใหม่

งานด่วนเข้าแทรก

เกิดมีงานด่วนกว่าเข้ามาจริงๆ เลี่ยงไม่ได้ ก็ควรจะพยายามจดโน้ตไว้ว่าขณะนั้นทำงานมาถึงไหน ตั้งใจจะทำอะไรต่อไปก่อนโดนขัดจังหวะ แล้วจัดเก็บโน้ตนั้นกับงานไว้ด้วยกัน เมื่อกลับมาเริ่มใหม่ภายหลังจะได้ต่อติด


รีแลกซ์ด้วย

อย่าเครียดมากจนเกินไป ถ้ารู้สึกเครียดกับงานตรงหน้ามาก ให้หยุดพัก หายใจลึกๆ ยืดเส้นสายเสียหน่อย หรืออาจจะหยุดพักดื่มกาแฟ อย่าเข้มงวดกับตัวเองเกินไปนัก

ให้รางวัลหลังงานเสร็จหลังงานเสร็จ

ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการเช็คอีเมลหรืออ่านบล็อกที่ชอบได้ ใครที่อยากมีสมาธิในการทำงาน ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

สมุดบันทึกของ Davinci บันทึกอะไรไว้ ?

Leonardo da Vinci เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ.1995 ที่หมู่บ้าน Vinci ในแคว้น Tuscany ของประเทศอิตาลี มารดาเป็นหญิงชาวนาชื่อ Caterina บิดาเป็นคหบดีที่มีฐานะมั่งคั่งชื่อ Piero da Vinci ถึงแม้จะเป็นเด็กที่เกิดจากการสมรสนอกกฎหมาย แต่ da Vinci ก็สามารถเติบใหญ่ได้อย่างไม่มีปัญหาในสังคมอิตาลีสมัยนั้น

da Vinci ได้รับการยกย่องว่าเป็นสากลมนุษย์ที่รอบรู้ในศาสตร์และศิลป์แทบทุกแขนง เขาเป็นศิลปินเอก เป็นยอดวิศวกร และเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สร้างสรรค์ผู้มีคติประจําใจว่า การเสาะแสวงหาความรู้อยู่เสมอเป็นวิถีชีวิตของคนเก่ง ความสนใจของ da Vinci นั้นหลากหลาย เขาได้ศึกษาลักษณะการไหลของนํ้า วิธีการบินของนก และระบบการไหลของโลหิตในร่างกายคน นอกจากนี้เขาก็ยังสามารถวาดภาพได้อย่างชนิดไร้ผู้ใดเทียมทานอีกด้วย

นับเป็นโชคดีของมนุษย์ที่ da Vinci ได้เขียนข้อสังเกต และความคิดฝันทั้งหลายของเขาลงในสมุดบันทึกที่มีความหนากว่า 1,000 หน้า เอกสารเหล่านี้คือมรดกลํ้าค่าที่ da Vinci ได้มอบให้แก่โลก นอกเหนือไปจากภาพวาดที่ประมาณค่ามิได้ เช่น Mona Lisa, The Last Supper และ Adoration of the Magi เป็นต้น

ในสมุดบันทึกนั้น da Vinci ได้เขียนบทความ และภาพวาดเกี่ยวกับก๊าซพิษ ระเบิดนาปาล์ม เรือรบ มนุษย์กบ เทคนิคการ ควบคุมและป้องกันนํ้าท่วม การสร้างปืนใหญ่ เครื่องจักรไอนํ้า เรือดํานํ้า เฮลิคอปเตอร์ ร่มชูชีพ รถถัง เครื่องปรับอากาศ เกียร์รูปเกลียว ใบพัดเครื่องบิน ฯลฯ เขาเขียนภาพและคิดสร้างอุปกรณ์เหล่านั้นในขณะที่ชาวโลกยังไม่รู้จักอุปกรณ์ที่ว่านี้เลย จนกระทั่งอีก 450 ปีต่อมา เทคโนโลยีปัจจุบัน จึงสามารถทําความฝันบางประการของ da Vinci เป็นจริง

Sir Anthony Bennett ผู้เป็นนักประวัติศาสตร์ผู้ที่มีชื่อเสียงของอังกฤษ ได้กล่าวถึงความสามารถในการสังเกตของ da Vinci ว่าอัจฉริยะท่านนี้มีประสาทตาที่ไวและละเอียดเหมือนตาของซูเปอร์แมน เพราะสามารถเห็นเกลียวคลื่น เห็นการทำงานของกล้ามเนื้อนกขณะบินก่อนที่โลกจะมีกล้องถ่ายภาพชนิด slow - motion ใช้เสียอีก

da Vinci เวลาต้องการวาดภาพกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย เขาจะใช้วิธีศึกษาจากศพจริงๆ ภาพที่วาดได้จึงชี้ให้เขาเห็นความรู้ที่ผิดของ Aristotle และ Galen นอกจากนี้ da Vinci ยังได้ทุ่มเทศึกษาการทํางานของระบบการหมุนเวียนของโลหิตจนเกือบพบหน้าที่แท้จริงของหัวใจด้วย

da Vinci เสียชีวิตที่ Chateau of Cloux ในประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2062 ขณะมีอายุได้ 77 ปีFrancesco Malzi เป็นศิษย์รักของ da Vinci ได้รับมรดกที่เป็นสมุดบันทึกบางเล่ม ส่วนอีกบางเล่มได้ถูกนําไปเก็บในพิพิธภัณฑ์ของประเทศสเปน อังกฤษและอิตาลีเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2541 ได้มีผู้นําสมุดบันทึกของ da Vinci ออกประมูลที่ Christie ใน New York สมุดเล่มนี้มี 72 หน้า มีภาพประกอบ 360 ภาพ ภาพส่วนใหญ่เป็นภาพวาดที่บรรยายธรรมชาติการไหลของนํ้า

อภิมหาเศรษฐี Bill Gates ได้ประมูลซื้อสมุดบันทึกเล่มนี้ไปด้วยเงิน 770 ล้านบาท สถิตินี้เป็นสถิติโลกในการซื้อขายสิ่งพิมพ์ ประเภทสมุดบันทึก

ในสายตาของคนทั่วไป การได้อ่านข้อความและเห็นภาพของ da Vinci เปรียบเสมือนกับการได้เข้าไปนั่งอยู่ในจิตของมนุษย์ - เทวดาผู้นี้ขณะกําลังทํางานก่อนที่ da Vinci จะจากโลกไป เขาได้กล่าวกับ Malzi ผู้ศิษย์ ว่า “ Tell me if anything was ever made” ขณะนี้เราคงบอกได้ว่าเราประดิษฐ์อะไรต่อมิอะไรตามความคิดของ da Vinci ได้แล้วหลายชิ้น และอีกหลายความคิดที่เหลือเรา ก็คงกําลังศึกษาหาความเป็นไปได้ในการสร้างมันขึ้นมาครับ

● หลากหลายข้อคิด .. เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ●

ฟ้ามิได้แบ่ง ‘ยอดคน’ กับ ‘คนธรรมดา’ ออกจากกัน
ยอดคนจะปรากฏขึ้นเสมอแต่นั้นมิใช่เพราะ ‘ฟ้ากำหนด’ การที่ "ยอดคน"
ปรากฏขึ้นได้เพราะ เขาผ่านการ "ฝึกฝน" และ "เรียนรู้" ที่จะเป็นยอดคน
................................................................

"อัจฉริยะ" ไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด
คนเก่งได้นั้นต้องได้รับการฝึกฝน ม้าดี ต้องมีคนขี่มาฝึกฝน ..
นักกีฬาที่ดีต้องมีโค้ทที่ดีมาฝึกฝน
....................…................................

Don't Look Down Yourself.
อดีตไม่สำคัญว่าเราเป็นใคร สำคัญที่ว่าวันนี้เราต้องการเป็นใคร
จงเคารพนับถือในความสามารถของตัวเอง ยกย่องและให้เกียรติตัวเอง
..................................…........................

สมองของคนเราเหมือนพื้นดินที่ว่างเปล่า
เมื่อเราปลูกอะไรลงไปเราก็จะได้ผลเป็นอย่างนั้น ... จงปลูกฝังแต่สิ่งดีๆ
ลงไปในสมองคำพูดใดๆ ที่เราเคยได้ยินซ้ำๆ ซากๆ เกิน 37 ครั้ง มันจะกลายเป็น
"อุปนิสัย" ของเราทันที
..................................…........................

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกคือ "สิ่งแวดล้อม" อย่าปล่อยให้ความคิดะ
หรือคำพูดของคนบางคนมาตัดสินชีวิตของเรา
ในโลกนี้ไม่มีใครมีอิทธิพลกับตัวเราเอง
นอกจากตัวเราเอง
......................................….....................

ชีวิตไม่ใช่เกมส์กีฬา ไม่มีเวลาพักครึ่ง ไม่มีการขอเวลานอก และที่สำคัญคือ
‘เปลี่ยนตัวผู้เล่นไม่ได้’ ไม่มีใครเกิดมา ‘ล้มเหลว’ มีแต่ ‘ล้มเลิก’
.........................................

คนฉลาด.. ต้องโง่เป็น คนโง่ไม่เป็น..จะไม่มีทางฉลาด
.........................................

เพียงคุณคิดว่าคุณทำได้ คุณก็ทำได้ตั้งแต่ที่คุณคิด
แต่หากคุณคิดว่าคุณทำไม่ได้
คุณก็ทำไม่ได้ตั้งแต่ที่คุณคิด สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของมนุษย์
คือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ‘ทางจิต’ ที่ตอกย้ำตัวเองว่า .. ทำไม่ได้
………………………………………………………………………….

แม้แต่ "คิด" ยังไม่กล้าที่จะคิด แล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร?
จงกล้าที่จะเผชิญความล้มเหลว.. ความล้มเหลวคือครูที่ทดสอบตัวเรา
If you want to have success, you have no choice.
.......................................................................

มนุษย์ คือจุดศูนย์กลางของเส้นรอบวงที่ไม่มีขีดจำกัด .. ทำไม?
มนุษย์เหมือนกันจึงประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน นั่นเป็นเพราะไม
มนุษย์แต่ละคนได้รับโอกาสทางความคิดที่แตกต่างกัน
................................................................

คนสำเร็จมองปัญหาเป็นโอกาส คนล้มเหลวมองโอกาสเป็นปัญหา
คนสำเร็จจะปรับตัวเองไปหาโลกภายนอกคนล้มเหลว จะให้โลกภายนอกปรับตัวเข้าหาตัวเอง
Team work is less ‘E-GO’ and more ’WE GROW’
.................................................................

คนสำเร็จระดับผู้บริหาร เป็นผู้นำขององค์กรต่างๆ ในโลกนี้ กว่า 85%
ทั่วโลกล้วนแล้วแต่มิใช่คนเก่ง แต่เป็นคนดีทั้งสิ้น คนเก่ง.. มักจะมี
‘อัตตา’
จะไม่ยอมปรับตัวเข้าหาโลก ไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น่
ไม่ยอมรับการพัฒนา..ความรู้ และสิ่งใหม่ๆ ‘ปกครองคนไม่ได้’ คนเก่ง..ใช้เวลา
2-3 ปี
ก็สอนให้เก่งได้ .. แต่.. คนดีต้องใช้เวลา ‘ชั่วชีวิต’ สอนกัน
คนเก่งมักจะขาดความจงรักภักดี ไม่มีความกตัญญู
......................................................................

"ความรู้" เป็นเพียง "พลังอำนาจแฝง" ชนิดหนึ่งเท่านั้น "ความรู้"
จะกลายเป็น "พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่" ได้ก็ต่อเมื่อมันถูกนำ ไปใช้อย่างชาญฉลาดเท่านั้น
............................……………………………………….

ฟัง..แต่..ไม่ได้ยิน ได้ยิน..แต่..ไม่เข้าใจ เข้าใจ..แต่..ไม่ลึกซึ้งั้นย
ลึกซึ้ง..แต่..ไม่แตกฉาน แตกฉาน..แต่..นำไปใช้ไม่เป็น !!!
จงนำศักยภาพและอัจฉริยภาพที่ซ่อนเร้นในตัวเรา มาใช้อย่างชาญฉลาด
.....................................................................

จอมวีนไม่แคร์สื่อ.. ฉายานี้เหมาะกับคุณแค่ไหน

ไม่มีใครยอมรับว่าตัวเองเป็นคนขี้วีน แค่คนรอบตัวคุณอาจจะบอกว่าคุณเกิดมาเพื่อฉายานี้ก็ได้นะ .. ลองมาทดสอบดู

1. คุณบ่นว่าอยากดูหนังเรื่องหนึ่งมาก หวานใจเลยพาไปดู แต่กลายเป็นว่ามันเป็นหนังที่ห่วยที่สุด พอออกจากโรง คุณจะ ..

A. รีบบ่นก่อนที่เขาจะมีโอกาสพูด ว่าเขานั่นแหละเป็นคนพามาดูหนังเรื่องนี้
B. เซ็งมาก สั่งให้เขาพาคุณไปทำอะไรสนุกๆ เดี๋ยวนี้เลย
C. บ่นทุกอย่างเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ยาวนานเป็นชั่วโมง

2. คุณมีประชุมแต่เช้า แต่นาฬิกาปลุกดันไม่ปลุก พอไปถึงที่ประชุด คุณจะ..

A. ยิ้มหวานรับสายตาพิฆาตของคนในห้องประชุม แล้วนั่งฟังเงียบๆ
B. ทำหน้าบึ้งสุดๆ ทุกคนจะได้ไม่กล้าว่าคุณ
C. พยายามแสดงความคิดเห็นเยอะๆ ถึงจะมาสายแต่คุณก็ทำงานดีย่ะ

3. คุณกำลังแดนซ์อยู่ในผับ สายตาไปปะทะกับคู่อริ คุณจะ ...

A. ชี้ให้เพื่อนๆ คุณดูท่าเต้นของหล่อน แล้วช่วยกันหัวเราะเยาะ
B. แกล้มชมคนอื่นให้เซไปชนยายนั่น ..
C. บอกเพื่อนว่าอากาศแถวนี้เป็นพิษ ย้ายที่กันเถอะ

4. คุณให้แฟนเลือกที่เที่ยววันหยุด แต่เป็นที่ๆบริการแย่มาก ห้องพักก็สุดโทรม คุณจะ ..

A. ไม่เป็นไร ถึงคนอื่นทำไม่ดี แต่เราต้องทำจิตใจให้มีความสุข
B. โมโหแฟนมาก ทำไมไม่หาข้อมูลก่อน
C. เก็บเรื่องนี้ไว้ข่มเขาอีกนาน

5. คุณโมโหมากที่ช่างตัดผมให้คุณเหมือนหนูแทะ แต่แฟนกลับบอกว่าสวยดี คุณจะ..

A. แว้ดกลับทันทีด้วยความหงุดหงิด คิดว่าฉันจะเชื่อหรือยะ
B. มองทรงผมอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้น
C. ถามแฟนด้วยคำถามเดิมทั้งวัน เพื่อความสบายใจ

6. คุณกับเพื่อนเล็งเสื้อตัวเดียวกัน แต่เพื่อนหยิบไปลองก่อนแถมใส่สวยด้วยสิ คุณจะ ..

A. วิจารณ์เสียๆ หายๆ พอเพื่อนไม่เอา คุณก็แอบไปซื้อวันหลัง
B. วิจารณ์ตามตรง แม้จะเสียดายสุดขีด
C. ทำท่าหงุดหงิดให้เพื่อนรู้ว่าคุณก็ชอบมันเหมือนกัน

7. คุณเห็นยายแห้งคนนึง ถามแฟนว่าถ้าเทียบกับหล่อน คุณอ้วนไหม เขาบอกว่าไม่ คุณจะ ...

A. หงุดหงิด เป็นแฟนกันทำไมต้องโกหกด้วย
B. ดีใจจังที่มีแฟนที่เป็นห่วงความรู้สึกของคุณ
C. ยังไงคุณก็จะลดความอ้วน เขาก็ต้องอดข้าวกับคุณด้วย ไม่งั้นไม่ยอม

8. คุณจับได้ว่าแฟนเก่าของหวานใจโทรมายืมเงินเขา คุณจะ...

A. บอกเขาว่าครั้งนี้ต้องเป็นครั้งสุดท้าย ไม่งั้นแหลก
B. ตบหน้าเขาไปที โทษฐานส่อแววนอกใจ
C. โทร.ไปต่อว่าผู้หญิงคนนั้น

9. เพื่อนคุณลดความอ้วนได้ ส่วนคุณน้ำหนักขึ้น คุณจะ ...

A. สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ แล้วชวนแกมบังคับให้เพื่อนกินด้วยกัน
B. ไม่ยอมเจอเพื่อนเลยจนกว่าคุณจะลดความอ้วนได้
C. ขุดเรื่องฉาวของเพื่อนมาเม้าท์ ถึงจะอ้วนกว่าแต่ฉันประพฤติดีกว่า

10. คุณรู้มาว่าเพื่อนไปซื้อรองเท้าจากร้านประจำของคุณในราคาที่ถูกกว่ามาก คุณจะ...

A. แกล้งเปรยๆ กับแม่ค้าว่า "สงสัยต้องเลิกซื้อของร้านนี้แล้วมั้ง"
B. ต่อว่าไปตรงๆ ที่แม่ค้าทำกับลูกค้าประจำอย่างนี้
C. บอกแม่ค้าว่าคราวหน้าต้องหั่นราคาให้คุณบ้าง ไม่งั้นไม่ยอม



A B C

1. A 3 B 1 C 2
2. A 1 B 3 C 2
3. A 2 B 3 C 1
4. A 1 B 3 C 2
5. A 3 B 1 C 2
6. A 2 B 1 C 3
7. A 3 B 2 C 1
8. A 1 B 2 C 3
9. A 1 B 2 C 3
10. A 1 B 3 C 2



10-14 คะแนน
คุณเป็นคนที่สามารถเอาเหตุผลมาประสานกับอารมณ์ รู้ว่าเมื่อไรควรอาละวาดและเมื่อไรต้องทำใจ ถึงแม้ว่าบางครั้งมันจะทำให้คุณดูเหมือนเป็นนางเอกผู้แสนดีจนเหล่าร้ายได้ใจไปบ้าง แต่เวลามีเรื่องที่ต้องแสดงความกร้าว คุณก็ไม่เคยปล่อยให้คนชั่วลอยนวล นี่ล่ะคือความเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะของจริง

15-24 คะแนน
คุณไม่คิดว่าตัวเองจะขี้วีนอะไรนักหนา แค่บางทีความโมโหมันขึ้นหน้าจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่เท่านั้นเอง แต่นั่นล่ะคืออาการเบื้องต้นของคนที่จะกลายเป็นยายขี้วีนระดับชาติ เพราะทุกวันนี้เพื่อนฝูงก็ยังเหวอๆ ไม่ค่อยกล้าขัดใจคุณกันอยู่แล้ว ถ้าว่างๆ คุณควรจะนั่งสมาธิหาทางผ่อนคลายจิตใจให้มากๆ หน่อย อย่ายอมให้ความเจ้าอารมณ์มาทำให้ภาพพจน์ดีๆ ของเราเสีย

25-30 คะแนน
ถ้าอย่างคุณยังไม่เรียกว่าขี้วีน คงไม่มีใครในประเทศนี้ใจร้อนกันแล้ว เวลาเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่ได้ดังใจ คุณมักเลือกแสดงออกในทางร้ายสุดโต่งเสมอ คุณมักเลือกแสดงออกในทางร้ายสุดโต่ง ถ้าโวยได้เป็นโวย ถ้าโวยไม่ได้คุณก็จะใช้คำพูดและสายตาทิ่มแทงทำร้ายให้ฝ่ายตรงข้ามเสียใจได้ ความขี้วีนอาจทำให้คุณดูเป็นผู้หญิงสวยเริดเชิดโสดและโหดได้ใจในวันนี้ แต่ในระยะยาวคุณจะกลายเป็นคนที่ไม่มีใครคบ แล้วมันคุ้มกันไหมนั่น

กด ATM แล้วไฟดับ ทำยังไงดี

กด ATM แล้วไฟดับ ทำยังไงดี

มีชายคนหนึ่งได้ไปจอดรถเพื่อที่จะกด เอทีเอ็ม
ธนาคารไทยพาณิชย์ประมาณ6โมงเย็นธนาคารปิดแล้ว
ขณะนั้นเขากด มา 5000 บาท

ขั้นตอนต่างๆเรียบร้อยจนกระทั่งขั้นตอนรอรับเงินไฟเกิดดับ
บัตรเอทีเอ็มตีคืนมาแต่เงินไม่ออกชายคนนั้นก็รอสักครู่ไฟก็ยังไม่มา
เขาจึงขับรถไปตู้อื่นที่ไฟไม่ดับปรากฏว่ายอดเงินได้ถูกตัดไปแล้ว

วันรุ่งขึ้นชายคนนี้จึงมาทำเรื่อง แจ้งธนาคาร
ธนาคารได้ตรวจสอบกับทางธนาคาร

และบอกว่าเงินได้ถูกจ่ายออกมาแล้วแน่นอน
ทางธนาคารไม่สามารถรับผิดชอบได้
แต่ถ้าเงินไม่ออกมาธนาคารก็จะคืนเงินให้
เขาก็บอกว่าเขาไม่ได้เงิน ทางธนาคารก็บอกว่าช่วยไม่ได้
ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ให้โทรเช็คยอดกับศูนย์บัตรเอทีเอ็มถ้ายอดเงินถูกตัดไปแล้ว
ต้องรอบริเวณนั้นเลยจนกว่าไฟจะมาพอไฟมาเงินจะออก มา


เงินของเขาก็คงมีคนที่มากดคนแรกหลังจากไฟมาได้เอาไปแล้ว
ธนาคารแจ้งเพิ่มเติมว่า ถ้าไฟดับจังหวะอื่น
ที่ไม่ใช่ช่วงรอรับเงินเงินจะไม่ถูกตัด
ยอดเงินจะคงเดิม
หากยอดเงินถูกตัดธนาคารจะคืนเงินให้

เรื่องนี้เป็น เรื่องเตือนใจว่า
กดเอทีเอ็มแล้วถ้าไม่ได้เงินอย่ารีบออกจากบริเวณนั้น
โทรเช็คธนาคารให้ได้รับคำตอบแน่นอนจึงไป

ถ้าเงินถูกตัดแล้วต้องรอจนไฟมาอย่างเดียว

มีคำถามตามมาว่าถ้าไฟมันดับนานจะทำ อย่างไร
ถ้าดับข้ามคืนจะทำอย่างไรมิต้องนอนรอตรงนั้นหรือ
ก่อนกดเอ ทีเอ็มก็ภาวนาอย่าให้ไฟดับช่วงนั้นเลย.....