วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เมื่อลูกผิดให้"เหตุผล" ภารกิจพ่อแม่ยังไม่จบ!

คนรุ่นก่อนเลี้ยงลูกด้วยไม้เรียว มาถึงพ่อแม่ยุคใหม่หันมาเลี้ยงลูกด้วยการรับฟังเหตุผลมากขึ้น แต่แท้จริงแล้ว การยุติปัญหาควรจบลงที่ "เหตุผลของลูก" เท่านั้นหรือ

อาจารย์ศิริพร สุวรรณเทศ นักสังคม สงเคราะห์ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น (www.love4home.com) เขียนบทความเรื่อง "เลี้ยงลูกด้วยเหตุผลอย่างเดียวไม่พอ" ไว้ในวารสาร "สารพินิจ" ฉบับล่าสุด มีมุมมองที่น่าสนใจไว้ดังนี้

"ผู้ใหญ่พูดห้ามเถียง เวลาผู้ใหญ่นั่งจะส่งของให้ไม่ควรยืนค้ำศีรษะ เด็กดีต้องอ่อนน้อมและเชื่อฟังผู้ใหญ่

หรือเมื่อตอนพ่อแม่เป็นเด็ก จำได้ว่า ถ้าทำผิดไม่ว่ากรณีใดๆ จะถูกลงโทษโดยการตีทุกครั้ง ซึ่งพ่อแม่จะเรียนรู้ว่าการลงโทษแบบนี้ ทำให้จำได้ว่าไม่ควรทำผิดและทำให้เป็นคนดีได้

แต่จะมีพ่อแม่บางคนที่มีรอยบาดแผลทางใจฝังรอยแน่นอยู่ภายใต้จิตใจ จะมีพฤติกรรมการเลี้ยงลูกตรงข้ามกับเหตุการณ์หรือบาดแผลทางใจที่ตนได้รับมา เช่น ในวัยเด็กเคยถูกห้ามโดยกฎข้อบังคับต่างๆ ทำให้ตนเองสะสมคับแค้นมาก พอมีลูกก็จะปล่อยให้อิสระแก่ลูกเต็มที่ หรือในชีวิตมีแต่ความอดอยาก อยากได้ของเล่นสักชิ้นก็ไม่เคยได้ พอตนเองมีลูกก็จะปรนเปรอ ซื้อของเล่นนานาชนิดมาให้ลูก บางครั้งลูกไม่ได้เรียกร้องในสิ่งนี้ แต่จากการที่ตนเองเคยอยากได้จึงคิดว่าลูกต้องอยากได้

แนะอย่าเพิ่ง"จบเรื่อง"

เพียงแค่"เหตุผลของลูก"


ทุกวันนี้การเลี้ยงดูลูกเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากพ่อแม่เริ่มมีการศึกษามากขึ้น หลายๆ ครอบครัวจะเปิดตำราเป็นเครื่องมือช่วยเลี้ยงลูก และอีกหลายๆ ครอบครัวจะเลี้ยงลูกจากตำราที่ตนเคยศึกษามา หรือเลี้ยงลูกตามผลการศึกษาวิจัยที่ผู้ศึกษาสรุปไว้ ซึ่งตารางและผลการศึกษาวิจัยต่างๆ นั้น มีการสอนที่ดีและถูกต้อง แต่ผู้นำมาใช้จะมีความสามารถนำมาใช้ได้ถูกต้องครบถ้วนอย่างไรนั้นเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึง

ไม่ว่ายุคใด สมัยใด การเลี้ยงลูกจะมีเป้าหมายเหมือนกันคือ ต้องการให้ลูกเป็นคนดี สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ มีอาชีพพึ่งตนเองได้ สุดท้ายพ่อแม่พึ่งได้ แม้ในยุคปัจจุบันจะมีเป้าหมายการเลี้ยงดูที่เหมือนๆ กันดังกล่าว แต่วิธีการเลี้ยงดูที่ทำให้ผลของการเลี้ยงดูปรากฏออกมาพิจารณาแล้วว่า น่าจะเป็นพฤติกรรมของเด็กที่เป็นปัญหา อันมาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ซึ่งจะมีตำราและมีบทความมากมายที่เขียนสนับสนุนว่าการเลี้ยงดูลูกนั้นควรเลี้ยงลูกแบบมีเหตุผล จะทำให้ลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและรู้จักคิด พ่อแม่จึงเลี้ยงลูกแบบมีเหตุผล พูดคุยและสอนลูกให้มีเหตุผลตั้งแต่เด็กเริ่มรู้ความและจะสอนมาตลอดว่าก็หนูทำอะไรลงไป หนูจะต้องบอกเหตุผลได้ว่าเพราะอะไร ทำไมจึงทำเช่นนั้น

เมื่อลูกบอกแล้วว่าเขามีเหตุผลที่ทำไปเช่นนั้นอย่างไร พ่อแม่จะรับทราบในเหตุผลของลูก และยอมจำนนต่อเหตุผลนั้นทันที เนื่องจากลูกบอกเหตุผลตามที่ตนเคยสอนไว้ โดยที่ไม่ได้คิดต่อไปว่าเหตุผลที่ลูกบอกนั้นถูกต้องและเหมาะสม ผิดหรือถูกอย่างไร เนื่องจากผู้เป็นพ่อแม่เคารพในสิทธิของลูกมากจนเกินไป จึงต้องยอมรับและรับทราบในเหตุผลของลูกตามที่ตนเองสอนไว้เช่นนั้น

ในสิ่งเหล่านี้ ผู้เป็นพ่อแม่จึงไม่มีการชี้แจงให้ลูกได้รับทราบว่าเหตุผลที่ลูกบอกนั้นผิดหรือถูกอย่างไร พ่อแม่จะรับทราบและยอมรับเหตุผลที่ลูกบอกเพียงอย่างเดียว เช่น ลูกเล่นลิปสติกแท่งใหม่ราคาแพงของแม่ แม่จะดุไม่ให้ลูกเล่น ลูกจะบอกเหตุผลว่าลูกอยากสวยเหมือนแม่ แม่จึงหยุดคิดว่า อ๋อ! นี่คือเหตุผลของลูก ลูกอยากสวย ลูกจึงเล่นลิปสติก แม่จึงไม่ดุ ไม่ห้ามปราม

เหตุผลไม่ขัดกฎเกณฑ์สังคม

เคารพสิทธิส่วนตนและผู้อื่น


กรณีดังกล่าวนี้ เด็กได้กระทำพฤติกรรมที่ล่วงเกินสิ่งของของผู้อื่นโดยไม่ขออนุญาต ซึ่งเป็นมารยาทที่ไม่สมควรกระทำ ผู้เป็นแม่ควรสอนลูกว่า "แม่เข้าใจว่าหนูนั้นอยากสวย แต่หนูจะเล่นลิปสติกของแม่ หนูควรจะมาขออนุญาตแม่ก่อน ถ้าแม่อนุญาตแล้วหนูจึงจะเล่นได้ หนูจะไปหยิบของของคนอื่นมาเล่นเช่นนี้ไม่ได้นะคะ" ถ้าแม่บอกและอธิบายเพิ่มเติมจากเหตุผลที่ลูกให้แล้ว ลูกจะเกิดการเรียนรู้ว่าการจะไปหยิบของของคนอื่นต้องบอกหรือขออนุญาตเจ้าของก่อน

ในกรณีที่พ่อแม่ยอมจำนนต่อเหตุผลแล้วยุติการชี้แจงหรือการสอนที่ถูกต้อง เมื่อลูกออกไปสู่สังคมนอกบ้าน เช่น โรงเรียน ลูกได้กระทำในสิ่งที่สังคมหรือคนอื่นๆ ยอมรับในเหตุผลของเขาไม่ได้ ความยุ่งยาก ความไม่เข้าใจ การให้อภัยจะไม่มี จะเกิดเป็นความขัดแย้งต่างๆ มากมาย เช่น ในกรณีเด็กคนหนึ่งปีนขึ้นไปบนหลังคารถยนต์ของครูแล้วไถตัวลงมา ครูเรียกมาทำโทษ เด็กไม่พอใจไปฟ้องพ่อ บอกความต้องการของตนเองว่า อยากเล่นเป็นไม้ลื่น พ่อฟังเหตุผลของลูกแล้วเข้าใจลูกจึงไม่พอใจครู กล่าวหาว่าครูมีอคติกับลูก ลูกมีเหตุผลของเขาว่าต้องการเล่นไม้ลื่น จึงไปไถตัวกับรถยนต์ของครู พ่อแม่ไปจ่ายค่าเสียหายให้ครู เด็กคนนี้จะมีปัญหากับเพื่อนบ่อยๆ ครูต้องเป็นผู้ตัดสิน เด็กมองครูว่าไม่ยุติธรรม ไม่ฟังเหตุผลของเขา

การเลี้ยงลูกด้วยเหตุผลเป็นสิ่งที่ดี แต่การมีเหตุผลไม่ใช่จะต้องยุติตรงที่ลูกบอกเหตุผลแล้วพ่อแม่รับทราบ โดยไม่พิจารณาต่อไปว่าเหตุผลนั้นถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของสังคมหรือไม่ เมื่อพ่อแม่ไม่ได้พิจารณาในจุดนี้แล้วก็จะไม่มีโอกาสสอนลูกให้รู้จักความถูกต้องตามสมควร ตามสิทธิส่วนตน และตามสิทธิของผู้อื่น

หลักง่ายๆ ของการสอนลูกคือ สอนให้ลูกรู้จักใช้เหตุผลของตนเองโดยเหตุผลที่เขากระทำไปนั้นจะต้องไม่ทำให้ของเสียหาย หรือทำลายของ และต้องไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน"

กินก่อนออกกำลังกาย

นักวิจัยพบว่า อาหารที่มีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อาทิ คอร์นเฟล็ก ขนมปัง และข้าวขัดขาว ไม่สามารถเผาผลาญไขมันได้ดีเท่ากับอาหารจำพวกแป้งที่มีเส้นใยสูง จำพวกข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต หรือโยเกิร์ต

เอ็มมา สตีเวนสัน (Em-ma Stevenson) นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Northumbria เมืองนิวคาสเซิล ที่ได้ทำการศึกษากับผู้หญิงอายุ 24 ปี โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้กินอาหารกลุ่ม High-Glycemic Index คือกลุ่มที่ทำให้มีการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดมาก และอีกกลุ่มให้กินอาหารกลุ่ม Low-Glycemic Index หรือ กลุ่มที่เพิ่มระดับน้ำตาลได้ต่ำ โดยให้ทั้ง 2 กลุ่มวิ่งบนรางวิ่งเป็นระยะเวลา 60 นาทีในความเร็วที่เท่ากันและทำการวัดผลระดับกรดไขมันในร่างกายทั้งขณะที่ วิ่งและหลังจากวิ่งเสร็จแล้ว เธอพบว่ากลุ่มคนที่กินอาหารกลุ่ม Low-Glycemic Index จากผลการทดลองพบว่า การเผาผลาญไขมันนั้นแตกต่างกันถึงร้อยละ 50 เลยทีเดียว

การศึกษาของเอ็มมายังเป็นไปในทางเดียวกันกับการศึกษาของ แบร์รี บราวน์ (Barry Brown) ของมหาวิทยาลัย Massachusetts เมื่อปีที่แล้ว โดยผลการศึกษาของเขา พบว่า การกินอาหารพวก High-Glycemic Index นั้น อาจทำให้ผู้ออกกำลังกายที่ต้องการควบคุมน้ำหนักนั้นไม่สัมฤทธิผลนัก “อาหาร จำพวก High-Glycemic Index นั้น เหมาะกับนักกีฬาที่ต้องใช้พลังงานมากและต้องการใช้พลังงานในทันที เช่นนักวิ่งมาราธอนมากกว่าครับ” เขากล่าว และหากใครกำลังจะควบคุมน้ำหนัก เราขอแนะนำเพิ่มเติมนิดหน่อยว่า หากคิดจะงดแป้งโดยสิ้นเชิง อาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก เพราะร่างกายยังต้องการคาร์โบไฮเดรตเพื่อช่วยในกระบวนการย่อยโปรตีน แต่ควรเลือกคาร์โบไฮเดรตชนิดดี น่าจะเป็นวิธีการที่เหมาะสมกว่า

กินช็อกโกแลตทำให้เป็นสิวไหม?

เนื่องจากมักมีการปรุงรสช็อกโกแลตให้หวานและมันด้วยน้ำตาล นม และผลิตภัณฑ์จากนม

การกินช็อกโกแลตมากๆ จึงอาจทำให้สิวเห่อได้จริง

ส่วนขนมเค้กที่มักมีรสหวานและมีส่วนผสมของน้ำตาล แป้ง นม และผลิตภัณฑ์จากนม ก็ทำให้สิวเห่อได้

นอก จากนั้นยังต้องระวังว่าการกินอาหารหวานๆ และขนมหวานมากเกินไป ล้วนก่อให้เกิดโรคอ้วนซึ่งทำให้เกิดโรคผิวหนังจากความอ้วนตามมาหลายอย่าง

- คนอ้วนอาจเป็นโรคสะเก็ดเงิน เห็นเป็นผื่นแดงนูนมีสะเก็ดสีเงิน มักเป็นตามข้อศอก หัวเข่า แนวไรผม

- ผิวเป็นผื่นดำ ที่ต้นคอ รักแร้ และใต้ราวนม

- มีติ่งเนื้อ พบบ่อยที่คอ รักแร้ การเกิดติ่งเนื้อนี้สัมพันธ์กับโรคเบาหวานและโรคอ้วน

- โรคเชื้อราที่ซอกพับ (เช่น ขาหนีบ) ที่ชาวบ้านเรียกว่าสังคัง เห็นเป็นผื่นแดง คัน มีขุยและมีขอบนูน

- ติดเชื้อยีสต์ (เช่น ที่ขาหนีบและใต้ราวนม) เห็นเป็นผื่นแดง มักมีจุดเล็กๆ กระจายอยู่รอบผื่น

- ติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น ที่ขาหนีบ รักแร้) โดยเห็นเป็นผื่นแดง

บาง โรคมีผลเสียในด้านความงามคือ ผิวแตกลาย มักพบที่ท้อง สะโพก ต้นแขนและต้นขา พบว่าคนอ้วนอาจมี ขนดก ตุ่มขนคุด ที่ตามต้นแขนต้นขา และคนอ้วนยังมีกลิ่นตัวได้บ่อย

พลังบำบัดแห่งว่านหางจระเข้

นี่คือพืชอัศจรรย์ที่มีสรรพคุณในการรักษาบาดแผล ปวดท้องอาหารไม่ย่อย และล้างพิษ ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้มากมายวางขายตาม ท้องตลาด ว่าแล้วเรามาทำความรู้จักกับพืชชนิดนี้กันดีกว่า

ว่านหางจระเข้เป็นพืชที่มีสรรพคุณในการบำบัด ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีชนิดหนึ่ง ถูกยุงกัดก็ใช้เจลว่านหางจระเข้ทาบริเวณที่ถูกกัด ปวดท้องอาหารไม่ย่อย ดื่มน้ำว่านหางจระเข้ช่วยบรรเทาอาการปวดกระเพาะ"เราพบว่าว่านหางจระเข้มีสรรพคุณในการรักษาโรคมากมาย ด้วยเหตุที่ว่านหางจระเข้ถูกใช้เป็นส่วนผสมในยาสีฟันไปจนถึงกระดาษชำระ จึงทำให้หลายคนสับสน" เพนนี ไวเนอร์ประธานสมาคมผู้ผลิตอาหารเพื่อสุขภาพ (Health Food Manufacturers Associaton-HFMA) กล่าว
"เราได้กำหนดมาตรฐานของว่านหางจระเข้ที่ใช้ในแวดวงอุตสาหกรรมเป็นครั้งแรกใน ประเทศอังกฤษ วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้บริโภครู้จักวิธีเลือกซื้อผลิตภัณฑ์คุณภาพ"

ว่านหางจระเข้เป็นต้นพืชที่มีเนื้ออิ่มอวบ มีแหล่งกำเนิดดั้งเดิมอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกา พันธุ์ของว่านหางจระเข้มีมากมายกว่า 300 ชนิด ซึ่งมีทั้งพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่มากจนไปถึงพันธุ์ที่มีขนาดเล็กแค่ 10 เซนติเมตร ลักษณะพิเศษของว่านหางจระเข้คือ มีใบแหลมคล้ายกับเข็ม เนื้อหนา และเนื้อในมีน้ำเมือกเหนียว ว่านหางจระเข้ผลิดอกในช่วงฤดูหนาว ดอกจะมีสีต่างๆ กัน เช่น เหลือง ขาว และแดง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับพันธุ์

ต้นว่านหางจระเข้ที่จะนำมาใช้ ควรเป็นต้นที่ปลูกนานหนึ่งปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม ต้นเล็กๆ ก็มีสรรพคุณในการรักษาเช่นกัน แต่สรรพคุณของมันจะมีมากขึ้นตามอายุปกติควรใช้ใบล่างสุด เพราะเป็นใบที่แก่และใหญ่กว่าใบอื่น ดังนั้นจึงมีเมือกมากและมีคุณค่าทางยามากกว่า เมื่อเราปอกเปลือกว่านหางจระเข้จนหมด จะเหลือส่วนที่เป็นเนื้อใสๆ ที่เรียกว่าวุ้น และเมื่อขูดวุ้นนี้ออกจะมีน้ำไหลออกมาเรียกว่า เมือก

ก่อนนำใบว่านหางจระเข้มาใช้ ต้องล้างให้สะอาดเสียก่อน ใบว่านที่นำมาใช้ ยิ่งสดจากต้นเท่าไหร่ยิ่งดี ทั้งนี้เพราะใบที่ถูกตัดจากต้นแล้วสรรพคุณจะลดลงเรื่อยๆ วิธีประหยัดต้นว่านหางจระเข้และทำให้มีสรรพคุณดีที่สุด คือตัดใบเอามาใช้เท่าที่จำเป็นและพอใช้ในหนึ่งวัน วันรุ่งขึ้นหากต้องการใช้ ก็ไปตัดจากต้นมาใหม่ หากต้องการใช้เพียงเล็กน้อย แต่ตัดเอามาใช้ทั้งใบ ส่วนที่เหลือเก็บไว้ วิธีนี้จะทำให้สิ้นเปลืองและใบว่านหางจระเข้จะมีสรรพคุณลดลง ควรตัดใบออกมาเพียงบางส่วนก็พอ เพราะวุ้นจากว่านหางจระเข้ที่แม้จะนำไปแช่ตู้เย็น ก็ยังทำให้เสื่อมสรรพคุณเร็วเช่นกัน

ว่านหางจระเข้เป็นพืชที่ปลูกกันทั่วโลก ว่านหางจระเข้พันธุ์ที่นิยมใช้ในซีกโลกตะวันตกเรียกว่า aloe barbadensis miller เหตุที่ได้รับความนิยมเพราะอุดมด้วยสารอาหารมากมาย ได้แก่วิตามินเอ บี1 บี2 บี6 บี12 ซี และอี ขณะที่แร่ธาตุที่พบได้แก่ โซเดียม แมกนีเซียม และเซเลเนียม น้ำตาลที่มีสรรพคุณในการบำบัด โปรตีน และกรดอะมิโน ลองรับประทานว่านหางจระเข้ หากคุณมีปัญหาดังต่อไปนี้

โรคลำไส้แปรปรวน

ดื่มน้ำว่านหางจระเข้ช่วยบรรเทาอาการตะคริวที่ท้องและท้องอืด นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณลดการอักเสบด้วย

ไขข้ออักเสบ

ใช้เจลว่านหางจระเข้ทาบริเวณที่อักเสบ เนื้อเจลจะแทรกซึมเข้าสู่ผิว ช่วยบรรเทาอาการปวด แจน เดอ รีส์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน Naturopathy ของ Health Plus กล่าว

โรคที่เกี่ยวกับผิวหนัง

บรรเทาอาการผิวหนังอักเสบ ลมพิษ และอื่นๆ ทาเจลว่านหางจระเข้เป็นประจำ นอกจากนี้ยังใช้นวดหนังศีรษะช่วยกำจัดรังแค

แผลไฟไหม้

น้ำร้อนลวก และมีดบาด ทาเจลว่านหางจระเข้บริเวณที่ถูกยุงกัด ถูกแดดเผา และแผลขีดข่วน เพราะว่านหางจระเข้มีสรรพคุณลดอาการปวด

ท้องผูก

ดื่มน้ำว่านหางจระเข้ทุกวันจะช่วยป้องกันท้องผูก เนื่องจากมีสรรพคุณเป็นยาระบาย แต่ก่อนใช้ควรปรึกษาแพทย์

7 วิตามิน บำรุงสมองสำหรับ...สาวลดน้ำหนัก

นอกจากสาว ๆ จะต้องควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย ทำสมาธิในการลดน้ำหนักแล้ว การใช้วิตามินก็เป็นตัวช่วยลด น้ำหนักได้ด้วย อีกทั้งยังเป็นการบำรุงสมองไปในตัว ซึ่งประกอบไปด้วย 7 วิตามินดังต่อไปนี้

1. วิตามินเอ

ควรกินเม็ดละ 10,000 IU หรือได้รับจากการทานอาหารธรรมชาติที่มีสารเรตินอล หรือเบต้าแคโรทีน เช่น แครอท ฟักทอง มะเขือเทศ มะม่วงสุก มะละกอสุก และผักใบเขียว เป็นต้น

2. วิตามินซี

ควรกินเม็ดละ 500 มิลลิกรัม หรือจากอาหารธรรมชาติ จำพวกผักสด ผลไม้สด เช่น ส้ม สตอเบอร์รี่ กีวี ฝรั่ง พริก และมันฝรั่ง

3. วิตามินดี

ปริมาณที่เหมาะสมเม็ดละ 1,000 IU หรือกินได้จากอาหารธรรมชาติ จำพวกน้ำมันตับปลา ปลาทูน่า ปลาแซลมอน และปลาซาดีน

4. วิตามินอี

เม็ดละ 400 IU หรือกินได้จากอาหารธรรมชาติ จำพวกน้ำมันพืช จมูกข้าวสาลี ถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดพืช

5. วิตามินบี 1

ควรกินประมาณ 100 มิลลิกรัม ถ้ารู้สึกว่าสมองยังมึนงงอยู่ให้กินครั้งละ 2 เม็ด หรือสามารถกินได้จากอาหาร ธรรมชาติ จำพวกเนื้อปลา ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ธัญพืชที่เสริมคุณค่า มันฝรั่ง ถั่วเปลือกแข็ง และถั่วเมล็ดแห้ง

6. วิตามินบี 6

ควรกินเสริม 1 เม็ด หรือสามารถกินได้จากอาหารธรรมชาติ จำพวกเนื้อปลา ขนมปังโฮลวีท ธัญพืช ถั่วเปลือกแข็ง กล้วย ถั่วเหลือง

7. บีคอมเพล็กซ์ 1 เม็ด

สำหรับท่านที่ต้องการบำรุงสมองให้กินเล็กซิตินเข้าไปด้วยประมาณ 1 เม็ด



อย่างไรก็ตามวิตามินก็เป็นเพียงอีกตัวช่วยหนึ่งเท่านั้น แต่สำหรับการลดน้ำหนักอย่างได้ก็ยังต้องอาศัยการออก กำลังกาย การปรับเปลี่ยนการทานอาหาร และมีสมาธิอย่างตั้งใจนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ใช้ภาชนะเมลามีนอย่างไร ให้ปลอดภัย

คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าในปัจจุบันภาชนะที่ใช้ใส่อาหารจะประกอบด้วยภาชนะเมลามีนไม่ว่าจะเป็น จาน ชาม ทัพพี ถ้วยกาแฟเนื่องจากมีความสวยงานและมีน้ำหนักเบาซึ่งเมลามีนเป็นภาชนะบรรจุที่ มาจากอมิโนเรซินที่เป็นโพลิเมอร์ของเมลามีนกับฟอร์มาลดีไฮด์

ซึ่งหากมีการนำไปใช้ไม่ถูกต้องอาจทำให้ผู้บริโภคได้รับอันตรายจาก
สารฟอร์มาลดีไฮด์ ที่เป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินหายใจ โดยจะแพร่กระจายออกมาจากภาชนะได้ เพราะฉลากสินค้าภาชนะเมลามีนส่วนใหญ่บอกว่าภาชนะสามารถทนต่อความร้อนได้ มากกว่า 1 องศาเซลเซียส แต่ไม่แจ้งอุณหภูมิการใช้งานที่สามารถใช้แล้วปลอดภัยต่อสุขภาพและสินค้า ทำให้ผู้บริโภคนำไปใช้บรรจุอาหารทั้งในอุณหภูมิปกติและอุณหภูมิที่ร้อนมากหรือมีการนำไปใช้กับเตาไมโครเวฟ และที่สำคัญยังพบว่าการใช้งานในเตาไมโครเวฟ ทำให้

เกิดการเสื่อมสภาพของภาชนะเมลามีนดังนั้น ภาชนะเมลามีนสำหรับอาหารไม่สามารถจัดเป็นภาชนะซึ่งสามารถใช้งานที่อุณหภูมิสูงเกิน 1 องศาเซลเซียสได้เนื่องจากความไม่ปลอดภัยในการแพร่กระจายของสารฟอร์มาลดีไฮด์ออกมาจากภาชนะซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก็ให้เกิดโรคมะเร็ง

การใช้ภาชนะเมลามีนอย่างปลอดภัย ควรใช้งานที่อุณหภูมิไม่เกิน 6 องศาเซลเซียส สำหรับการใช้งานที่อุณหภูมิเกิน 6 องศาเซลเซียสแต่ต่ำกว่า 1 องศาเซลเซียส ต้องระมัดระวังไม่ควรคงอุณหภูมิสูงไว้นานรวมทั้งไม่ควรใช้งานที่อุณหภูมิสูง ถึง 1 องศาเซลเซียส ตลอดจนการต้มน้ำหรืออุ่นอาหารในเตาไมโครเวฟเกิน 2 นาที ที่ระดับกำลังไฟ 9 วัตต์ หรือใช้ต้มน้ำจนเดือดอุณหภูมิถึง 1 องศาเซลเซียส เพราะอาจได้รับสารฟอร์มาลดีไฮด์ที่แพร่กระจายออกมาได้ขอแนะนำให้นำอาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ วางพักไว้ก่อนประมาณ 2 นาที จึงค่อยนำวางในภาชนะเมลามีน จึงขอให้ผู้บริโภคอ่านฉลากก่อนนำไปใช้และดูเงื่อนไขที่กำหนดในการใช้งานสินค้าดังกล่าวเพื่อความปลอดภัย

กำเนิดเฟชบุ๊ค!

เว็บไซต์เฟซบุ๊กที่เป็นที่นิยมในขณะนี้เป็นบริการบนอินเตอร์เน็ตที่ผู้ใช้จะติดต่อสื่อสารและร่วมทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งหรือหลายๆ กิจกรรมกับผู้ใช้เฟซบุ๊กคนอื่นๆ ได้

มีทั้งการตั้งประเด็นถามตอบในเรื่องที่สนใจ โพสต์รูปภาพ โพสต์คลิปวิดีโอ เขียนบทความหรือบล็อก แช็ตคุยกัน เล่นเกมแบบเป็นกลุ่มและทำกิจกรรมอื่นๆ ได้

ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก คือ มาร์ก ซักเกอร์ เบิร์ก เกิดเมื่อวันที่ 14 พ.ค.2527 รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา มีพี่น้องทั้งหมด 4 คน ซักเกอร์เบิร์กเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว

ซักเกอร์เบิร์กชอบเขียนและพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์และโปรแกรมเกม ในวัยเด็ก มาร์กเคยพัฒนาโปรแกรมสื่อ สารให้กับสำนักงานของพ่อและไซแนปส์ ซึ่งเป็นโปรแกรมเพลงใช้เรียนรู้พฤติกรรมของผู้ฟัง

เมื่อศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ซักเกอร์เบิร์กคิดทำหนังสือรุ่นออนไลน์แต่มหาวิทยาลัยไม่เอาด้วย จึงลักลอบเข้าเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยเพื่อหาประวัติของนักศึกษาฮาร์วาร์ดจากฐานข้อมูลมหาวิทยาลัยมาใส่ในเว็บไซต์ Facemash ได้สำเร็จ และชวนเพื่อนๆ นักศึกษาเล่นเกม "Hot or Not" โดยโพสต์รูปแล้วให้เพื่อนๆ เข้ามาช่วยกันโหวตว่าใครเป็นที่นิยม ภายในเวลาแค่ 4 ชั่วโมง มีนักศึกษา เข้ามาโหวตถึง 450 คน สร้างสถิติการ ชม 22,000 ครั้ง แต่แทนที่จะได้รับเสียงชมจากอาจารย์ ซักเกอร์เบิร์ก กลับถูกมหาวิทยาลัยลงโทษระงับการใช้อินเตอร์เน็ต นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะสร้างเฟซบุ๊ก

วันที่ 4 ก.พ.2548 ถือว่าเป็นวันเปิดตัวเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ในระยะแรกเว็บไซต์เฟซบุ๊กเป็นเครือข่ายทางสังคมสำหรับนักศึกษาฮาร์วาร์ดเท่านั้น แต่ไม่นานมหาวิทยาลัยอื่นๆ ก็เริ่มอยากใช้เฟซบุ๊กบ้าง ซักเกอร์เบิร์ก จึงต้องเขียนโปร แกรมเพิ่ม พร้อมกับชวนเพื่อนๆ คือ ดัสติน มอสโควิตซ์ และคริส ฮิวจ์ มาช่วยกันสร้างเฟซบุ๊กให้รองรับสมาชิกมากขึ้น เพียงแค่ 4 เดือนเฟซบุ๊กก็กลายเป็นที่นิยมในฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยอื่นๆ กว่า 30 แห่ง เมื่อเฟซบุ๊กประสบความสำเร็จ ทีมของซักเกอร์เบิร์กจึงย้ายมาปักหลักที่แคลิฟอร์เนีย ซึ่งมาร์กพบกับปีเตอร์ ธีล นักลงทุนรายแรกที่ร่วมลงทุนในเฟซบุ๊ก

เกมที่มีชื่อเสียงบนเฟซบุ๊กมีมากมาย เช่น เกม Pet Society แนวสัตว์เลี้ยง โดยผู้เล่นเลือกรูปร่างหน้าตา เสื้อผ้า และสร้างเอกลักษณ์ให้ตัวละครได้ตามใจ ก่อนที่จะพาไปอยู่ในบ้านซึ่งจะขยายขึ้นเรื่อยๆ ตามระดับความสามารถของตัวละคร ความน่าสนใจของเกมนี้อยู่ที่ความน่าเอ็นดูของสัตว์เลี้ยงซึ่งสามารถทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย อาทิ วิ่งแข่ง ทำอาหาร ตกปลา หรือแม้กระทั่งปลูกต้นไม้ ทั้งนี้ ในเกมจะมี "เงินตอบแทน" ซึ่งช่วยให้เราซื้อของตกแต่ง หรือเครื่องอำนวยความสะดวกมาให้สัตว์เลี้ยงของเราเพิ่มเติมได้

ปัจจุบัน เฟซบุ๊ก มีผู้เข้าใช้มากกว่า 300 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งถือได้ว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของสหรัฐอเมริกา และ-เป็นเว็บไซต์ที่มีผู้อัพโหลดรูปภาพสูงที่สุดด้วย

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

ตำแหน่งไฝบอกนิสัย

ตำแหน่งไฝ บนร่างกาย ลักษณะไฝปานในร่างกายชาย-หญิง



1. บนศรีษะ ดีมีลาภลอย

2. หน้าผาก ใจกุศล ดาวพลูโต มีศิลธรรมดี ชอบสะสม และมีณาญหยั่งรู้

3. ขมับขวา เม็ดนูน จะเป็นคนก้ำพร้า จะดีเมื่อโตขึ้น จะเป็นคนดีมีคนอุปถัมภ์เลี้ยงดู มีเพื่อนฝูงช่วย เหลือ

4. ขมับซ้าย เมื้อน้อยได้รับการเลี้ยงดูดี เติบใหญ่จะลำบาก

5. แสกหน้า รักอิสระ คู่สมรสอายุสูงกว่า หญิงชอบตลกคะนอง มีปัญญาทันคน

6. ขมับ ดาวเกตุ วาสนาดี มีผู้อุปถัมภ์

7. ชายผมก้านคอ ชอบละเอียดอ่อน ชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อย นิสัยอ่อนโยน ไม่ชอบสังคม

8. คิ้วขวา มีเสนห์ รักสวยรักงาม เป็นที่ถูกตาต้องใจของต่างเพศ เจรจาพาทีไพเราะถ้าอยู่หัวคิ้วมี อารมณ์ทางเพศรุนแรง ปลาย คิ้วจะขี้อาย

9. คิ้วซ้าย เจ้าอารมณ์ เจ้าทุกข์ ถ้าอยู่หัวคิ้ว ดีมีความคิดในทางค้าขาย เป็นนักธุรกิจติดต่อสังคมเก่งทัน คน หางคิ้ว จะมีโอกาสรวยได้มาก แต่ใช้เงินเก่ง เลี่ยงกฎหมายฉวยโอกาสกระทำผิด

10. ก้านคอด้านหลัง ถึงมีเงินมีทอง แต่มักจะอาภัพ เป็นโรคทางระบบสมอง

11. ขมับขวา มีหัวคิดริเริ่มดี มีแต่ทางก้าวหน้าร่ำรวย ทำราชการดี แต่ระวังจะต้องรับภาระหนักจนเกิน ไปโรคภัยทางสมองจะเบียดเบียนได้

12. ขมับซ้าย เจ้าความคิดสำหรับคนอื่น ทำคุณกับใครไม่ขึ้น มีอาชีพการงาน แน่นอน

13. เปลือกตาขวา เป็นชายจะไม่สมหวังเกี่ยวกับความรัก หากเป็นหญิง มักมีชายมาอุปการะ แต่มักมาก ทางกามคุณ มีกุสโลบายทางเพศ

14. เปลือกตาซ้าย มักมีลาภทางการเงิน และงานจากเพศตรงข้าม ปากว่ามือถึง ไวไฟ หากเป็นหญิงมักเป็นหม้าย

15. หางตาขวา หรือร่องน้ำตา ชอบสนุกสนาน มีคู่ได้ไม่นานจีรังยังยืน เงินทองไม่ขาดมือ

16. สะบักหลังทั้งขวาซ้าย ชอบทดลองสงสัยเกี่ยวกับกามาราณ์ตลอดเวลา มีเสน่หในตัวเอง มักมีคน อุปการะ ชอบสนุกสนานร่าเริง ชีวิตมีทั้งดีและ เสียปนกันไป ซ้ายจะดีกว่าขวา

17. ใต้ขอบตาขวา เป็นคนเจ้าเสน่ห์เป็นที่หลงใหลของเพศตรงข้าม แม้ยิ้มแย้มได้ในยามที่ตัวเองระทมทุกข์ ขี้บ่น เจ้าอารมณ์ ไม่จริงใจกับใคร

18. ใต้ขอบตาซ้าย เป็นคนอารมณ์ดี เปิดเผย ขวานผ่าซาก มีศัตรู หาคน ไว้ใจยาก

19. ดั้งจมูก เป็นคนโชคดี วาสนาชะตาสูง สติปัญญาดีเอาตัวรอดได้ ทำธุริกจก้าวหน้า มีคุณธรรม

20. ปลายจมูก มีความสมบูรณ์ จะมีคู่หลายคนร่าเริง รักสวยงามเป็น เสน่ห์แก่ผู้พบเห็น เป็นนักรัก

21. ข้างจมูกขวา วาสนาดี มีความเพียร มีสติปัญญาหลักแหลม ชีวิตราบรื่น

22. ข้างจมูกซ้าย มีโภคทรัพย์ ได้รับมรดก รักความสงบ มีศิลธรรมประจำใจ มีโชคลาภเสมอ

23. แก้มขวา ,มีวาสนาดี จะไม่ยากจน เป็นครูอาจารย์ มีผู้นับถือมาก

24. แก้มซ้าย วาสนาดี แต่ค่อนข้างเจ้าชู้ มักมีความคิดเห็นแหวกแนว จะได้รับมรดกจากญาติผู้ใหญ่

25. โหนกแก้มขวา จะมีนิสัยเห็นแก่ตัว มักเอาเปรียบคนในทางทุจริตประกอบ มิจฉาชีพ ควรทำลายเสีย

26. โหนกแก้มซ้าย มีผู้อุปถัมภ์คำชู ใจกว้างชอบทำบุญ

27. ข้างหูขวา หน้า จะเป็นคนเจ้าปัญญา เลี้ยงตัวได้ แต่ไม่รวยเพราะกิน อุดมคติมากไป

28. ข้างหูซ้าย หน้า เป็นนักธุรกิจที่ก้าวหน้า มองการ์ณไกล

29. ข้างหูขวาด้านหลัง เย่อหยิ่ง เชื่อความสามารถตนเองมากไป มักมีศัตรู

30. ข้างหูซ้าย หลัง จะเป็นคนหันหลังให้สังคม ร่ำรวยหลายครั้งและตกต่ำ หลายหน เจ้าอารมณ์หึงหวง เอาแต่ใจตนเอง

31. ริมฝีปากล่าง ไม่ดี โมโหร้าย ปากร้าย แสนงอน ชอบทะเลาะ สร้างความเดือดร้อน อยู่สันโดษจะมีสุข

32. หู มีมานะอดทน ปฏิภาณว่องไว มักใจคอโลเล แก่ตัวจะสบาย ขอบหนังสือ เป็นนักเจรจา

33. บ่าขวา ใจคอเด็ดขาด มานะอดทน วัยกลายคนชีวิตจะดีกว่าเยาว์วัย

34. บ่าซ้าย โมโหร้าย ลำบากแต่เล็ก สูงอายุจะมีผู้อุปการะ ใจคอไม่แน่นอนมัก เป็นหม้าย

35. กลางหลัง นิสัยเกียจคร้าน ไม่ชอบทำงาน โง่ แต่อวดดี

36. แขนซ้าย มักมีผู้อุปการะ ชอบของโบราณ มักยุ่งเสมอ หาความสุขยาก

37. แขนขวา กล้าหาญ ขอบเผชิญภัย ทำจริงมีโชคอยู่เสมอ

38. ข้อมือ พูดจริง เหนื่อย หากินไม่ค่อยพอ มีกามารมณ์รุนแรง มักมีคู่หลายคน

39. ฝ่ามือ จะมีชื่อเสียง ขอบสมาคม ปัญญาดี

40. ง่ามมือ ปัญญาดี ใจบุญ มีความสุขตลอดชีวิต ถ้านิ้วขวา ดีกว่านิ้วซ้าย

41. นิ้วมือ อายุน้อยจะลำบาก สูงอายุจะมีชื่อเสียงปัญญาดี หาทรัพย์ได้ง่ายแต่งงานแล้วจะมีความสุขสบาย

42. หน้าอก ขอบสมาคมวาสนาดี มักคิดฝัน เป็นนักแสดงดี ชีวิตสมรสมักติดขัด

43. หัวใจ เมื่อเด็กลำบาก เป็นผู้ใหญ่ จะมีหลักฐาน ใจนักเลง อนาคตจะสุขสบาย คู่สมรสมีฐานะดี อาชิพค้าขายดี

44. ฐานนมทั้ง 2 ข้าง มักสุรุ่ยสุร่าย ใจอ่อนสมรสแล้วเลี้ยงลูกไม่ค่อยรอด โง่ เขลา อายุเลย 30 ปีขึ้น ไปจะสุขสบายบ้าง

45. ฐานนมข้างซ้าย ขอบการศึกษา หาความสงบ ชอบค้นคว้า จะได้ลาภจาก ผู้ใหญ่ อย่าเกี่ยวข้องกับ หญิงจะเดือดร้อนวาสนาดี หลักฐานมั่นคง จะอุดมไปด้วยสมบัติ

46. ฐานนมข้างขวา สติปัญญาน้อย เอาแต่ใจตน เห็นแก่ตัว มักตกยาก การงานออกกำลังจึงได้ผล

47. สีข้างซ้าย โกรธง่าย ขอบเพศตรงข้าม มีเล่ห์เหลี่ยม อาชีพค้าขายดี

48. สีข้างขวา อดทนรักสงบ ศัตรูสูงอายุกว่า ใจรวนเรหาความแน่นอนยาก มักลำบากแต่เล็ก

49. บั้นเอวซ้าย ปากร้าย ใจดี จะมีเกียรติชื่อเสียง แก่ตัวจะสบาย อาชีพค้า ขายดีเป็นนักรัก

50. บั้นเอวชวา ซื่อสัตย์ กำพร้าแต่เด็ก มักลำบาก ชอบทำงานหลายอย่างใน เวลาเดียวกัน บูชาความรัก

51. กลางท้อง ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ มักเดือดร้อนทางการเงิน สมาคมยาก ไร้ความอายเรื่องการกิน

52. กระเพาะอาหาร ชอบสนุกใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ค้าขายจะร่ำรวย

53. สะดือ มีมานะ ฉลาดสุขุม มีผู้อุปถัมภ์ในการเงิน รักสวยรักงาม ขี้หึง อาชีพ การช่างดี เป็นศิลปินดี ถ้าต่ำกว่าสะดือ จะเป็นศิลปิน

54. ท้องน้อย มีโชคลาภอยู่เสมอ รับราชการจะมีต่ำแหน่งสูง มักได้ลาภจาก เพศตรงข้าม คู่สมรสตระกูล สูง

55. ขาหนีบ ใกล้ของลับ ชอบสวยงาม ยั่วยวนเก่ง ชีวิตจะสบายมีเกียรติและ


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ดาราเดลี่

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จริงหรือ แมลงสาบหัวขาดแต่ไม่ยักจะตาย

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า แมลงสาบ
สามารถมีชีวิตอยู่ได้หลายสัปดาห์แม้จะไม่มีหัว


เนื่องจากแมลงสาบหายใจผ่านรูหายใจที่เรียกว่า "spiracle"
รูขนาดเล็กที่อยู่ในแต่ละปล้องของลำตัว

อีกทั้งสมองของแมลงสาบไม่ได้ทำหน้าที่ควบคุมการหายใจ
เลือดก็ไม่ได้ขนออกซิเจนไปตามอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกายอีกด้วย

แต่มันจะใช้ท่อหายใจดูดอากาศเข้าไปยังเนื้อเยื่อโดยตรง
ผ่านกลุ่มท่อลมที่เรียกว่า "เทรเคีย"
และแมลงสาบไม่มีระบบเส้นเลือดหรือมีเส้นเลือดฝอยที่ต้องใช้ความดันสูง
เพื่อทำให้เลือดหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ เหมือนมนุษย์

ดังนั้น หลังจากที่แมลงสาบถูกตัดหัว คอของมันจะถูกปิดด้วยก้อนเลือดที่แข็งตัว
จึงไม่มีการไหลของเลือดที่ควบคุมไม่ได้
จึงเป็นเหตุผลที่ว่า
ทำไมเจ้าแมลงสาบจึงมีชีวิตอยู่ได้หลายสัปดาห์โดยปราศจากหัว



ที่มา หนังสือ ลูกช่างถาม ตอบไม่ได้...อายแย่เลย...!!?

คนสมัย ร.5 ใส่ชุด 'สีม่วง' ไปงานศพได้

คนสมัย ร.5 ใส่ชุด 'สีม่วง' ไปงานศพได้!

ทราบหรือไม่ว่า หากคุณอยู่ในสมัย ร.5 คุณสามารถใส่ชุด 'สีม่วง' ไปร่วมงานศพได้โดยไม่มีใครว่า ถ้าคุณไม่ได้เป็นญาติกับผู้ตาย!

สำหรับในประเทศไทย เมื่อต้องไปงานศพทุกคนก็คงทราบกันดีอยู่แล้วในเรื่องการแต่งกายที่เหมาะสม ว่าต้องใส่ชุดสีดำที่สุภาพหรือหากจะมีสีอื่นปะปนอยู่ในชุดเล็กน้อย ก็ควรจะเป็นสีสุภาพอย่างสีขาว สีน้ำเงินหรือสีน้ำตาลเข้ม เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้ว การไปงานศพก็จะต้องใส่ชุดสีดำนั่นเอง

ทั้งนี้ หลายคนคงไม่ทราบว่า หากย้อนกลับไปในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 การแต่งกายไปงานศพที่เหมาะสมนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แต่เพียงการใส่ชุดสีดำอย่างเดียว แต่ยังสามารถใส่ชุดสีม่วง สีน้ำเงินและสีขาวได้อีกด้วย โดยที่ไม่มีใครว่าคุณว่าเป็นคนไม่รู้จักกาละเทศะ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าผู้ที่จะไปงานศพสามารถเลือกสีของเสื้อผ้าได้ตามใจชอบ เพราะแต่ละสีก็มีความหมายที่แสดงถึงฐานะหรือความสัมพันธ์ของตนเองกับผู้ตายที่แตกต่างกันไป โดยมีความหมายดังนี้

สีดำ สำหรับ ผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีอายุแก่กว่าผู้ตาย

สีขาว สำหรับ ผู้เยาว์หรือผู้ที่มีอายุอ่อนกว่าผุ้ตาย

สีม่วงหรือสีน้ำเงินแก่ สำหรับ ผู้ที่ไม่ได้เป็นญาติเกี่ยวดองกับผู้ตายแต่ประการใด


ดังนั้น การแต่งกายตามหลักดังกล่าวข้างตน จะทำให้ในงานศพพอแยกแยะได้ว่าใครมีความสัมพันธ์อย่างไรกับใครจากการแต่งกาย เพราะผู้ที่แต่งตัวไปงานจะต้องรู้เรื่องราวเกี่ยวข้องกับตัวเองโดยถูกต้อง จึงจะแต่งสีให้ถูกได้ และถ้าผู้ใดแต่งกายด้วยสีใดแล้วแต่ไม่สามารถอธิบายได้ถึงเหตุผลที่ใส่สีนั้นๆ ก็มักจะถูกดูหมิ่นว่า เป็นผู้ไม่รู้แม้แต่เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง



Source : lib.ru.ac.th/isan.clubs.chula.ac.th(Image)
ข้อมูล voicetv

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทำไมถึงเรียก "ร้อนตับแตก"

คำนี้มาจากไหนกันนะ!!

"ตับจาก" ที่ใช้มุงหลังคา สิ่งที่เปรียบเทียบ "ร้อนตับแตก"♦

คำว่าร้อนตับแตกนี้ไม่ได้หมายถึง ตับที่เป็นอวัยวะ เครื่องในของเรานะ แต่มันหมายถึง ใบจาก ที่เราใช้มุงหลังคาบ้าน ซึ่งเมื่อเวลาตอนที่มันโดนแดด จัดๆ ร้อนจนร้อนมากๆ ใบจากที่ถูกเย็บเรียงติดๆกัน (เรียกว่าตับ) มันจะแตก หรือโก่งตัวเบียดกันระหว่างใบในตับ จนเกิดเสียงดังเปรี๊ยๆ จนเราสามารถได้ยินได้ (อันนี้คาดว่าน่าจะเป็นใบจากที่ใบหนามากๆ หรือแก่จัดและแห้งมากๆ)

จนคนสมัยโบราณ เอามาเป็น Indicator ว่าถ้าวันไหนได้ยินหรือรู้ได้ว่า ตับจากที่มุงหลังคาบ้าน แตก เมื่อไหร่ วันนั้นเราจะถือว่าร้อนๆ มากๆ ร้อนจน "ตับแตก"

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิ่งตามอะไรกันในชีวิต


วิ่งตามอะไรกันในชีวิต

มีเรื่องเล่าว่า... มีพระองค์หนึ่ง...ชอบทำอะไรแปลกๆ...
วันหนึ่ง...พวกกรุงเทพฯ...เอากฐินไปทอดที่วัด...


จัดงานกันใหญ่โต...มีหนัง...มีลิเก...มีดนตรี...ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน...
ก่อนทอดกฐิน..ผู้คนมารวมกันเต็มศาลา...
หลวงพ่อเรียกเด็กวัดมา...
บอกให้ไปเอาเนื้อจากโรงครัวมาก้อนหนึ่ง...แล้วเอาเชือกมาด้วย...
หลวงพ่อจัดการ...เอาเนื้อ...ผูกติดกับหลังหมา...

ผูกเสร็จ...ก็ปล่อยหมา ...
หมาเห็นเนื้ออยู่บนหลัง...ก็ไล่งับ...
พอหัวโดดงับ...ตัวก็ขยับหนี...
เพราะหมามันกัดหลังตัวเองไม่ถึง...
ยิ่งโดดงับเร็ว...ก้อนเนื้อก็หนีเร็ว...
โดดไม่หยุด...เนื้อก็หนีไม่หยุด...น่าสงสารหมามาก...


หมาโดดอยู่นาน...งับเท่าไหร่...เนื้อก็ไม่เข้าปากสักที...
ผู้คนบนศาลา...พากันหัวเราะชอบใจ...
หัวเราะเยาะหมา...ว่าทำไมมันถึงโง่ยังงี้...
ไล่งับ...จะกินเนื้อ...ที่ตัวเองไม่มีทางไล่ตามทัน ตลอดชีวิต...


หลวงพ่อ...มองดูด้วยความสนุกสนานจนหนำใจแล้ว...
ก็แก้เชือกออกมากหลังหมา...
แล้วหันมาพูดกับญาติโยมว่า...



มนุษย์เรา...มีความรู้สึกว่า...ตัวเองพร่อง...ตัวเองยังไม่เต็ม...
ต้องเติมตลอดเวลา...เติมไม่หยุด...เพื่อให้ตัวเองเต็ม...


อยากสวย...อยากทันสมัย...
ไปหาซื้อเสื้อผ้าที่สวยที่สุด...ทันสมัยที่สุดใส่...
ดีใจได้เดือนเดียว...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...สวยกว่า...ทันสมัยกว่า...
อยากได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่...
ซื้อเสร็จ ๓ เดือน...รุ่นใหม่ก็โผล่มาอีกแล้ว...


ซื้อคอมพิวเตอร์ทันสมัยที่สุด...
๒ เดือนต่อมา...มีรุ่นใหม่กว่าออกมา...ของเราตกรุ่น...

ซื้อรถเบนซ์...ทันสมัยที่สุด...แพงมาก...
ขับได้ ๖ เดือน...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...
ทันสมัยกว่า...แพงกว่า...ของเรากลายเป็นเชย...


เราต้องก้มหน้าก้มตา...ทำงานทั้งวัน ทั้งคืน...หาเงินมา...
เพื่อมาทำให้ตัวเองทันสมัย...
ซื้อเสื้อผ้าใหม่...มือถือใหม่...คอมพิวเตอร์ใหม่...รถยนต์คันใหม่...
เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส...
เพื่อไม่ให้ตัวเองตกรุ่น...


ปัจจุบัน...
เรากำลังไล่งับความทันสมัย...เหมือนหมาที่ไล่งับเนื้อบนหลังของมัน...
ทั้งที่รู้ว่า...ต่อให้ไล่งับทั้งชีวิต...ก็ไม่มีทางตามทัน...
น่าสงสารไหมโยม
...

คนเต็มศาลา...เมื่อกี้หัวเราะครึกครื้น...
ด่าว่า...หมามันโง่...
ตอนนี้เงียบสนิท...เหมือนไม่มีคนอยู่...


ไม่รู้ว่า...กำลังสงสารหมา...
หรือ...กำลังทบทวนความโง่...ตัวเอง


ขอบคุณบทความจากทำดีดอทเน็ต

ความทรงจำที่ล้างไม่ออก..


สิ่งที่พระพยอมเสียใจที่สุดในชีวิต



พระพยอม เล่ากรรมที่ทำกับพ่อ



โยมพ่อของอาตมาเป็นคนขี้เหล้า... หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็กินเหล้าหมด


พอเมาก็ดุด่าโยมแม่กับอาตมา อาตมาไม่ชอบพ่อมาก.......


วันหนึ่ง โยมพ่อเมากลับบ้านไม่ได้ มีคนให้อาตมาพายเรือไปรับ


ตอนนั้น อาตมายังเป็นวัยรุ่น ทำงานมาทั้งวันก็อยากจะนอน....อยากพักผ่อน....


อาตมารู้สึกโมโหมาก



พอพายเรือกลับบ้าน ก็ทิ้งโยมพ่อไว้ในเรือ


แต่พ่อเมามากลุกไม่ไหว ตะโกนเรียก....


“ ไอ้ยอม... ไอ้ยอม... มาอุ้มกรูขึ้นบ้านหน่อย... กรูขึ้นไม่ไหว ”


ไอ้เราก็ทนรำคาญไม่ไหว เดินกระทืบเท้า ตึง.. ตึง.. ตึง..


กระชากร่างพ่ออุ้ม ในขณะที่อุ้ม..


ความรู้สึกเจ็บแค้นที่พ่อทำให้เราลำบาก ชอบด่าว่าเราเจ็บๆ


พออุ้มพ่อขึ้นมาจากเรือ... ถึงหัวสะพาน


จับร่างพ่อกระแทกกับหัวสะพาน ก้นพ่อกระแทกกับ พื้นไม้อย่างแรง


เสียงดังโครม....


พ่อแกร้องไห้.... แล้วพูดว่า


“ ไอ้ยอมนะ... ไอ้ยอม.. กรูอุ้มมรึงมาแต่เล็กแต่น้อย....


กรูนอนหลับ.. แต่มรึงไม่ยอมนอน... ร้องไห้กวน..


กรูต้องลุกมาอุ้มมรึง...ร้องเพลงกล่อมให้มรึงนอน


จะไปไหนมรึงไม่ไหว.. มรึงเหนื่อย. . กูก็ต้องอุ้มมรึง.. ทั้งที่กรูก็เหนื่อย


กรูอุ้มมรึง.. มรึงทั้งขี้..ทั้งเยี่ยว.. ใส่กรู


แต่กรูไม่เคยทุ่มมรึงลงกับพื้นเลย....


เพราะกรูรักมรึง......


วันนี้...มรึงอุ้มกรู เหล้ากรูไม่ได้หกโดนมรึงสักนิด มรึงทุ่มกรูลงพื้นทำไม.....”


พอพ่อพูดจบ น้ำตาไม่รู้มาจากไหน มันไหลพรูลงมาอาบสองแก้ม


อาตมาเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน


ก้มลงกราบพ่อ แล้วพูดว่า


“ พ่อครับ ต่อจากนี้ไป... ผมจะอุ้มพ่อตลอดชีวิต


โดยไม่บ่นและทุ่มพ่อ ลงพื้นอีกแล้วละครับ”


หลังจากนั้น อาตมาทำงานอย่างหนักเพื่อมาให้พ่อ หวังให้พ่อสบายขึ้น


แต่เมื่อถึงวันนั้น มันก็สายไปแล้ว


โยมพ่อได้จากอาตมาไปแล้ว



คิดแล้วมันทรมานใจเหลือเกิน อาตมาทำผิดพลาดไปแล้ว และแก้ไขไม่ได้


จึงอยากเตือนทุกคนเอาไว้ ไม่อยากให้เสียใจไปตลอดชีวิต



แล้วคุณล่ะ เคยทำอะไรให้พ่อเสียใจบ้างหรือเปล่า


บางครั้งเราอาจเข้าใจท่านผิดบ้าง


บางครั้งท่านเฉยเราก็คิดว่าท่านไม่สนใจ


แต่พอเราโตเราก็จะรู้เองว่า


สิ่งที่ท่านทํากับเรามันเป็นสิ่งที่ท่านหวังดีกับเราเสมอ


ขอให้รู้จักค้นหาหัวใจตัวเองให้ทันเวลา


ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป....."


***********************************

สำหรับบางคน......


บางสิ่งบางอย่าง ลำบ๊ากลำบาก แต่เราสามารถ มุมานะทำเพื่อแฟนหรือคนรักของเรา


แต่บางสิ่งง่ายๆ สำหรับพ่อแม่ของเรา เรากลับไม่ค่อยอยากทำให้ท่าน


ทั้งๆที่ท่านลำบากเลี้ยงเรามา มาคิดได้เมื่อสายไปแล้ว....


เคยได้ยินมาว่า....


ข้าวร้อนๆกับปลาเค็ม 1 ชิ้น ตอนพ่อมีชีวิตอยู่


มีค่ามากกว่า "เนื้อมังกร...หน้าศพ" ตอนพ่อตาย...


5 ผลร้ายของการใช้ยานอนหลับเป็นเวลานา


ยานอนหลับหากใช้ตามความเหมาะสมก็มีประโยชน์ช่วยแก้ไขอาการนอนไม่หลับได้ และในบางคนก็สามารถช่วยบรรเทาอาการ และคลายความตึงเครียดได้ดี แต่ก็มักมีคนนำเอาไปใช้แบบผิดๆ เอะอะนอนไม่หลับ หรือ เครียดก็มักจะทานยานอนหลับเป็นประจำ ซึ่งหากใช้ไปนานๆ อาจมีผลร้ายที่ไม่คาดคิดได้ ดังนั้นคุณจึงควรพึงคำนึงถึงผลเสียที่จะตามมาก่อนใช้ดังต่อไปนี้ค่ะ

ติดยานอนหลับ

เมื่อใช้ยาไปได้สักระยะหนึ่งติดต่อกันแล้วหยุด ในช่วงแรกๆ อาการนอนไม่หลับอาจกลับมาอีกครั้ง จนต้องกลับไปใช้ยานอนหลับเป็นประจำทุกวัน เพื่อช่วยให้นอนหลับได้

เกิดอาการดื้อยา

การใช้ยานอนหลับขนานเดิมไปได้สักระยะหนึ่ง แล้วพบว่าการออกฤทธิ์ของยาลดลง จนต้องเพิ่มขนาดของยานอนหลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนอาจเกิดภาวะกินยาเกินขนาด และเป็นอันตรายต่อร่างกายตามมาได้

ความจำเสื่อม

ยานอนหลับอาจส่งผลต่อระบบความจำในระยะยาวได้ ทำให้ไม่สามารถจำเหตุการณ์หรือเรื่องราวต่างๆ ได้ยาวนานเหมือนคนปกติทั่วไป

เซ็กซ์เสื่อม

มีรายงานว่าผู้ที่ได้รับยานอนหลับบางชนิดเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายได้

ฤทธิ์ยาตกค้าง

การใช้ยานอนหลับบางชนิดที่ออกฤทธิ์เป็นระยะเวลานาน หรือในผู้สูงอายุที่ร่างกายมีความสามารถในการกำจัดยาลดลง อาจทำให้ยังมียาสะสมอยู่ในร่างกายเมื่อตื่นนอนแล้ว บางคนจึงยังรู้สึกง่วงนอน อ่อนเพลีย หรือมึนงง ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ในคนที่ต้องขับรถ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ถึงแม้จะเป็นการทานยาเป็นครั้งแร

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความหมายของ HB 2B บนดินสอ


ข้อมูลนี้ได้มาจากหนังสือ "การวาดเขียน" ของอาจารย์ประเสริฐ ศีลรัตนา ดังนี้



ดินสอดำ (Lead pencils)
ที่ขายกันในท้องตลาดนั้น ไส้ดินสอทำด้วยถ่านกราไฟต์ (Graphite คือตะกั่วดำที่ใช้ทำดินสอ) ผสมกับ Clay ซึ่งเป็นดินชนิดหนึ่ง ความแข็งหรืออ่อนของไส้นั้น ขึ้นอยู่กับความมากน้อยของของ Clay ที่ใช้ผสม ดินสออ่อนมากขนาด 6B จะมีดินผสมอยู่เป็นส่วนน้อย แต่ถ้าดินสอขนาด 6H จะมีดินผสมอยู่มากที่สุด ตัว B และ H มาจากคำว่า Black และ Hard ซึ่งบ่งบอกถึงความแข็งแรงของไส้และความเข้มของไส้

ดินสอที่ใช้ในการวาดเขียนมักจะใช้ดินสอที่มีจำนวน B กำกับซึ่งอาจเริ่มตั้งแต่ HB, 2B ไปจนถึง 6B ดินสอที่มีความเข้มน้อย ๆ อาจใช้ในการร่างภาพ และใช้ดินสอที่มีจำนวน B มากในการแรเงา แต่โดยปกติผู้วาดจะได้รับการแนะนำให้ใช้ดินสอที่มีจำนวน B มากที่สุดคือ ดำที่สุดเพียงแท่งเดียว ใช้ทั่งร่างภาพและแรเงา เหตุผลคือไม่ต้องสิ้นเปลืองและวุ่นวายอยู่กับความกะความเข้มของดินสอแต่จะได้รับการสอนให้ฝึกควบคุมน้ำหนักมือและการกะระยะน้ำหนักเข้มให้สัมพันธ์กับน้ำหนักมือโดยใช้ดินสอดำแท่งเดียว


ดินสอคาร์บอน (Carbon pencils)
หรือที่เรียกกันทั่ว ๆ ไปว่า ดินสอถ่าน เป็นดินสอที่ใช้ในการวาดเขียนอีกชนิดหนึ่ง มีวิธีใช้เช่นเดียวกับดินสอธรรมดา ดินสอถ่านทำขึ้นจากส่วนผสมของชาร์โคล (Charcoal คือถ่านไม้) ไส้ดินสอมีลักษณะดำคล้ายถ่านมีทั้งชนิดแข็งและอ่อน เริ่มด้วย HH ซึ่งแข็งมาก HB ปานกลาง และ B ไส้จะอ่อนแต่ดำ BB จะดำขึ้นไปอีก ส่วน BB นั้นดำที่สุด บางบริษัทที่ผลิตจะใช้ตัวอักษร E กำกับแทนตัว B

ตำนาน และที่มา แหวนแต่งงาน


ตามตำนานและประวัติศาสตร์ที่มีมาช้านาน ต่างเชื่อกันว่าการสวมแหวนที่นิ้วนางจะทำให้แหวนนั้นดลอำนาจของความรักผ่านสู่หัวใจของผู้สวมใส่ได้และแหวนแต่งงานก็เปรียบเสมือนตัวแทนคำสัญญาความรัก

และความมั่นคง เป็นเครื่องประดับติดตัวชิ้นเดียวที่มีคุณค่าผูกพันจิตใจกับหญิงสาวแต่ก่อน คู่หนุ่มสาวจะใช้เถาวัลย์ตามธรรมชาตินำมาผูกติดกับนิ้วเพื่อแสดงถึงความรัก จนกลายเป็นประเพณีของชาวโรมันและชาวอังกฤษที่จะนำโลหะที่มีค่าที่สุดของแต่ละยุคสมัยมาใช้สวมให้กับเจ้าสาว


ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีตั้งแต่สมัยโบราณแหวนหมั้นที่ใช้กันของคู่บ่าวสาวนั้นทำมาจากเหล็กธรรมดา ตามตำนานเชื่อว่าแหวนเหล่านี้เกิดจากเทพเจ้าโพรเมธูส(Prometheus) ตีเหล็กขึ้นมาเป็นแหวนให้กับเหล่ามนุษย์ที่ไม่มีรักต่อมาแหวนที่ชาวโรมันให้กันนั้น ก็กลายเป็นทองคำทรงกลม ซึ่งแสดงถึงวัฏจักรแห่งชีวิตและความเป็นนิรันดร์อีกทั้งเป็นการปฏิญาณต่อสาธารณชนว่าสัญญาสมรสของคู่บ่าวสาวจะได้รับการปฏิบัติและถนอมไว้ตราบนานเท่านาน


ตราบจนปัจจุบัน ด้วยคุณค่าความงานอมตะ ทำให้แหวนทองคำเป็นสัญลักษณ์ของประเพณีการแต่งงานที่ทรงความมหัศจรรย์คงอยู่กับเจ้าสาวตลอดกาล จนถึงศตวรรษที่ 15 แหวนอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่นคงและซื่อสัตย์ โดยใช้อัญมณีที่แกร่งที่สุดนั่นก็คือ "เพชร"


เพชรถูกค้นพบครั้งแรกในประเทศอินเดีย คุณค่าของเพชรในยุคสมัยนั้น มิใช่แค่ความงดงามจากภายนอก แต่เป็นเพราะความวิเศษแห่งอาคมขลังซึ่งเชื่อกันว่าเพชรสามารถป้องกันภัยจากอสรพิษ, ไฟ, ยาพิษ, ความป่วยไข้, การโจรกรรม ตลอดจนพลังแห่งความเลวร้ายทั้งปวง


ดังนั้นคำว่า Diamond นี้ จึงมีรากศัพท์มาจากคำว่า Adamas ในภาษากรีก ซึ่งแปลว่าไม่อาจเอาชนะได้กลายเป็นสัญลักษณ์สากลแห่งรักที่ยั่งยืน ตำนานของเพชรจึงได้เริ่มต้นและเล่าขานตกทอดกันนับแต่บัดนั้นมา





HappyMass

11 สิ่งที่ผู้หญิงไม่มีวันบอกคุณ


1. ความคิดสร้างสรรค์สิสำคัญ ผู้หญิงเวลาออกเดตจะไม่สนใจหรอกว่าคุณงกหรือไม่งกขอแค่อย่างเดียวว่า ให้คุณมีจิตนาการก็พอ อย่าพาเธอเข้าร้านเฉิ่ม ๆ แล้วกัน

2. เธอแต่งตัวให้คุณ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเธอเกี่ยวกับตัวคุณนั้นเป็นเรื่องธรรมดามาก คุณกำลังถูกเธอประเมินอย่างต่อเนื่องว่าจะเป็นคนที่เธอสมควรพาขึ้นเตียงด้วย หรือไม่ หนึ่งในบรรดากูรูประจำตัวผู้ชายยอมรับว่า ต้องตรวจดูเล็บมือเล็บเท้าของพวกเขาผ่านกล้องขยายกันเลย ทีเดียว และทริคอีกอย่างที่จะเปลี่ยนใจเธอให้ยอมขึ้นเตียงกับคุณ หลังจากคุณไปส่งเธอที่บ้าน "มันเป็นเรื่องของอำนาจ และการคุมเกม และเขาก็ไม่ได้แสดงอะไรระหว่างที่เขาขับรถ"

3. สัมผัสที่ 6 เธอรู้ว่าเพื่อนร่วมงานสาวคนไหนที่คุณแอบปลื้ม แม้ว่าเธอจะไม่เคยเห็นหน้าสาวๆ พวกนั้นเลยก็ตาม เธอสามารถจับน้ำเสียงของคุณเวลาพูดถึงเพื่อนสาวได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงได้หัวเสียเวลาคุณกลับบ้านช้า หรือเวลาคุณกลัวส่งงานช้า

4. ชื่อแห่งความตาย เธอนึกอยากฆ่าผู้ชายทุกคนที่เรียกเธอว่า อีหนู อย่าได้เรียกเธออย่างนั้นเชียวล่ะ

5. เมื่อนกเขาขับ เธอจะไม่มีวัน บอกให้คุณทำอะไรเกิน 3 ครั้ง ถ้าคุณยังไม่เอาขยะออกไปเท ยังไม่หยุดหักนิ้วตัวเอง ยังไม่ยอมละสายตาจากอกอวบๆ ของสาวเสิร์ฟ พฤติกรรมเหล่านี้ของคุณจะถูกเธอบันทึกไว้ในความทรงจำอย่างเงียบ ๆ และเธอจะแก้แค้นคุณเมื่อถึงเวลา

6. เกมนักสืบ ถ้าเธอถามคุณว่าชอบนักฟุตบอลคนไหน จริง ๆ แล้วเธอไม่ได้สนใจเรื่องพรรค์นั้นหรอก เธอเพียงแต่อยากอ่านอีเมลของคุณ และกำลังหารหัสของคุณอยู่

7. เธอเกลียดครอบครัวของคุณ เธออยากใช้วันหยุดทั้งหมดกับครอบครัวของเธอ ไม่ใช่ครอบครัวของคุณ และไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมคุณถึงรู้สึกอย่างเดียวกัน

8. ดอกไม้นรก เธอแกล้งทำเป็นชอบเวลาคุณส่งดอกไม้ไปขอโทษเธอที่ที่ทำงานของเธอ แต่ลึก ๆ แล้วเธอคิดว่ามันเป็นวิธีขอโทษที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย

9. พึ่งปฏิทิน มีรายการสั้น ๆ แต่สำคัญเกี่ยวกับสิ่งที่เธอบอกว่าไม่สนใจ แต่จริงๆ แล้วแคร์ ซึ่งมักจะประกอบด้วยการซื้อแหวนหมั้น อยากมีลูก แต่การออกไปข้างนอกในวันเกิดเธอกลับสำคัญกว่า เพราะถ้าขืนคุณลืมล่ะก็รับรองได้ว่าคุณจะได้รับบทลงโทษที่สาสมแน่ ๆ

10. เธอเป็นเจ้าแม่ เธอแอบปิ๊งคนดังอย่างน้อย 1 คน ที่เธอไม่ยอมรับว่าปลื้ม เพราะเขาทำให้เธอนึกถึงพ่อ ถ้านิสัยการดูทีวีของเธอไม่พ้นจากครูกุ๊กอย่างเคน ธีรเดช หรือพระเอกดาวรุ่งอย่างสมาร์ทล่ะก็คุณสามารถแอบยิ้มในใจได้แล้วว่าเจ้าแม่ อย่างเธอก็มีจุดอ่อน

11. คำพูดอันตราย คำพูดที่หยาบคายที่สุดที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะพูดออกมาได้ ก็คือ "Fine" (ดี) ลืมคำแปลภาษาไทยไปได้เลย เพราะคำนี้สำหรับผู้หญิงหมายถึง "คุณก็แค่เบื้อกดี ๆ นี่เอง ฉันจะไม่มีวันพยายามอธิบายว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหรอก" และคำว่า Fine นี้ในภาษาอิตาเลียนหมายความว่า "จุดจบ"





ที่มา ... Men’s Health

เฉาก๊วยทำจากอะไร


เฉาก๊วยทำมาจาก

หญ้าชนิดหนึ่งในตระกูลเดียวกับมินต์ มีชื่อเรียกว่าอย่างเป็นทางการ ´Mesona chinensis´ ส่วนคนไทยเราจะเรียกหญ้าชนิดนี้ว่า ´หญ้าเฉาก๊วย´ หญ้าเฉาก๊วยสามารถพบได้มากในประเทศจีน ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ขนมหวานชนิดนี้จะมีที่มาจากเมืองจีน และมีชื่อเรียกเป็นภาษาจีน
ทว่า ในหมู่ของคนจีนเอง

ก็จะเรียกเจ้าขนมหวานชนิดนี้แตกต่างกันออกไปตามภาษาถิ่น เช่น ในภาษาจีนกลางจะเรียกว่า ´เหลียงเฝิ่น´ หรือ ´เซียนเฉ่า´ ที่แปลว่าหญ้าเทวดา ขณะที่ชาวมาเลย์จะเรียกว่า ´จินเจา´ เป็นต้น

วิธีการทำเฉาก๊วยก็ไม่ยากไม่เย็นอะไรนักจ้า

เพียงแค่นำหญ้าเฉาก๊วยมาต้มจนเดือด

แล้วกรองเอาแต่น้ำออกมาจะได้น้ำที่เป็นสีดำโดยปริยาย (แต่พ่อค้าแม่ค้าบางรายที่ต้องการให้สีดูดำมากขึ้นก็จะใส่สีผสมอาหารลงไปด้วย)

จากนั้น ผสมกับแป้งมันสำปะหลังเพื่อช่วยในการจับตัว

ทิ้งไว้จนเย็นก็จะมีลักษณะเป็นวุ้นเท่านี้ก็เป็นอันว่าเสร็จสิ้นกระบวนการทำเฉาก๊วย
ที่เหลือก็แต่สไตล์การรับประทานของแต่ละคน

ว่าจะนำไปกินกับอะไร โดยส่วนใหญ่ก็จะใส่น้ำเชื่อมแล้วก็น้ำแข็ง กินดับกระหายคลายร้อน เพราะสรรพคุณของเฉาก๊วยตามตำราจีนนั้นสามารถช่วยลดอาการร้อนในกระหายน้ำได้ดีทีเดียว

ส่วนผสม

1. หญ้าเฉาก๊วยแห้ง 1/2 กิโลกรัม

2. น้ำสะอาด 18 ลิตร (1 ถัง)

3. แป้งมันสำปะหลัง
วิธีทำ

1. นำหญ้าเฉาก๊วยแห้งมาล้างให้สะอาด เพื่อให้ทรายหรือสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ ออกหมด แล้วนำไปใส่ปี๊บหรือถังสแตนเลส เติมน้ำสะอาดลงไป

2. นำไปต้มด้วยไฟปานกลาง ใช้ไม้พายคนเรื่อย ๆ ไม่ให้น้ำล้นออกมา ใช้เวลาเคี่ยวประมาณ 4 ชั่วโมง ก็จะได้น้ำเฉาก๊วยที่ดำและเข้มข้น

3. เทน้ำเฉาก๊วยที่ได้ออกพักในหม้อ รอให้เย็น ซึ่งเมื่อเย็นแล้วจะมีความเข้มข้นมากกว่าเดิม แล้วจึงนำมากรองเอากากออก โดยใช้ผ้าขาวบางรองซ้อนกัน 3 ชั้น วางบนปากภาชนะ เทน้ำเฉาก๊วยกรองผ่านผ้าลงไป โดยกรอง 3 ครั้ง แต่ละครั้งพยายามคั้นกาก ให้น้ำออกมามาก ๆ เพื่อจะได้มีความดำและเหนียวมาก ๆ

4. อาจจะเติมแป้งมันสำปะหลังลงไปในน้ำเฉาก๊วยเพื่อช่วยให้เฉาก๊วยแข็งตัวเป็นก้อนมากขึ้น

5. นำไปตักแบ่งรับประทานตามใจชอบ

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทานชีสคุ้มกันโรคในคนสูงอายุ


จากข้อมูลงานวิจัยของนักวิจัยจากสถาบัน University of Turky ประเทศ ฟินแลนด์เกี่ยวกับการบริโภคชีสที่มีส่วนผสมของแบคทีเรียชนิดดีต่อร่างกายว่า มีผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกันโรคของคนสูงวัย ข้อมูลงานวิจัยได้ถูกนำไปเผยแพร่ในวารสารวิทยาศาสตร์อย่าง FEMS Immunology & Medical Microbiology

งานวิจัยระบุว่าการทานชีสที่มีส่วนผสมของแบคทีเรียชนิดดีต่อร่างกาย หรือ probiotic bacteria เป็นประจำทุกวันจะ ช่วยป้องกันการเสื่อมในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโรคเมื่ออายุสูงขึ้น ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์พวกนมเปรี้ยว หรือโยเกิร์ตก็ได้มีการผสม probiotic bacteria เข้าไป เพื่อช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายของผู้รับประทาน

ในการวิจัยนักวิจัยได้ให้กลุ่มอาสาสมัครทดลองที่มีอายุระว่าง 72-103 ปีมาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน และในทุกเช้าจะมีการรับประทานชีสแผ่นบางๆหนึ่งแผ่นกับอาหารเช้าอื่นๆ เป็นเวลา 4 อาทิตย์ หลังจากนั้นก็มีการเจาะเลือดนำมาตรวจดู ซึ่งพบว่าเซลล์เม็ดเลือดสามารถจัดการกับเชื้อจุลินทรีย์ที่นำมาทดลองได้ดี กว่าก่อนที่อาสาสมัครจะทานชีสทุกวัน ซึ่งจากการตรวจสอบส่วนผสมในชีสก็พบว่าชีสเหล่านี้มีส่วนผสมของแบคทีเรียที่ ช่วยกระตุ้นการทำงานโดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายให้ทำงานดีขึ้น

ข้อมูลงานวิจัยใหม่นี้มีส่วนช่วยในการจัดอาหารและโภชนาการให้กับผู้สูงวัยให้เหมาะสมมากขึ้น และการเลือกรับประทานของคนก็จะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายด้วยเช่นกัน

วันเกิดของแต่ละคน...มีความลับจะบอก


คนที่เกิดวันจันทร์

คุณออกจะเป็นคนดื้อรั้น และค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเองเสียหน่อย แต่ทั้งนี้คุณก็ป็นคนฉลาดรอบรู้ แถมยังมีอัธยาศัยดีด้วยนะ
ซึ่งคนที่เกิดในวันนี้ค่อนข้างน่าอิจฉาที่มักจะสมหวังในความรักอยู่บ่อย ๆ แต่ก็มีบ้างเหมือนกันแหล่ะที่จะช้ำรัก แต่นั่นก็เป็นเพราะตัวคุณเองไม่ใช่หรือ

คนที่เกิดวันอังคาร

คุณค่อนข้างมีดวงรักแรกพบสูงมากกว่าคนเกิดวันอื่น ๆ แม้ว่าภายนอกคุณจะเป็นคนแข็ง ๆ ลุย ๆ ตรงไปตรงมา แต่อันที่จริงแล้วคุณเป็นคนที่อ่อนโยนมากทีเดียวเลยนะแถมยังเป็นคนที่เปิดเผยและจริงจัง
ดังนั้นหากคุณชอบใครคุณก็จะชัดเจนว่าคุณมาจีบเขาหรือคุณชอบเขา ไม่ค่อยมีหรอกพวกอาการหลบ ๆ ซ่อน ๆ ให้อีกฝ่ายเดาเล่น ๆ หน่ะ

คนที่เกิดวันพุธ

คนที่เกิดวันนี้ค่อนข้างอินเทรนด์ไม่เบาเพราะ
คุณมักจะหลงใหลได้ปลื้มกับคนที่อายุน้อยกว่าง่าย ๆ (เรียกง่ายๆ ว่าพวกชมรมกินเด็กนั่นแหล่ะ) แต่ก็ใช่ว่าเห็นใครเด็กกว่าก็คว้าไว้หมดนะ เพราะคุณมักจะคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วว่ามันโอเค มันชัดเจนมั่นใจแล้วคุณถึงจะไขว้คว้าเอาความรักนั้นมาเป็นของคุณให้ได้ ซึ่งก็ตรงกับนิสัยความช่างคิดและละเอียด
รอบคอบของคุณดีนะ


คนที่เกิดวันพฤหัสบดี

ความรักของคุณนั้นช่างเรียบง่ายเสียจริง ๆ จะเรียกว่าดีก็ได้นะ (ถ้ามองในแง่ดี) แต่ก็จงระวังเอาไว้ด้วย เพราะคุณมักจะหลงคารมพวกจิงโจ้ไม่จริงใจเสียเป็นส่วนมาก แต่ถึงกระนั้นเมื่อมีความรักแล้วคุณก็ไม่ใช่พวกถอดใจอะไรง่าย ๆ เพราะหากมีอุปสรรคคุณก็จะพยายาและอดทนจนถึงที่สุดเหมือนกัน


คนที่เกิดวันศุกร์

จะว่าอย่างไรดีล่ะ คุณค่อนข้างเป็นคนคิดมากและมักจะขี้สงสัยและชอบคิดอะไรไปล่วงหน้าบ่อย ๆ
โอเคคุณน่ะเป็นคนฉลาด แต่ก็มักจะพลาดท่าคนอื่นได้บ่อย ๆ คู่รักของคุณของคุณบางครั้งก็อาจจะเป็นคนที่คุณไม่ได้รู้สึกรักใคร่มาก่อนออกบ่อย ๆ ก็ได้ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะถูกจับคลุถุงชนหรอกนะ


คนที่เกิดวันเสาร์


คนที่เกิดวันนี้ถือได้ว่าอีกนิดเดียวคุณก็จะโดนมองว่าเจ้าชู้ได้เลยนะเนี่ยเพราะ
คุณเองก็เป็นพวกอ่อนไหวและหวั่นไหวกับเรื่องของความรักไม่ใช่ย่อย แถมยิ่งถ้าเห็นใครที่ถูกใจคุณก็จะเดินหน้าใส่ทันที แต่ทั้งนี้ก็ใช่ว่าคุณจะหลงใหลในความรักจนไม่ลืมหูลืมตาหรอกนะ เพราะแม้ว่าคุณจะชอบคนง่ายแต่ก็ไม่ได้ชอบทีละหลาย ๆคนแถมคุณเองก็เป็นคนหนักแน่นแถมยังค่อนข้างพิถีพิถันในการเลือกคนรักเสียด้วยสิ


คนที่เกิดวันอาทิตย์

ถือได้ว่าคุณเป็นคาสโนว่า / คาสโนวี่ได้เลยล่ะเพราะ
คุณมักจะอ่อนไหวไปกับคนที่โดดเด่นอยู่บ่อย ๆ แถมยังเป็นคนเบื่ออะไรได้ง่าย ๆ อีกต่างหาก แถมเวลามีความรักคุณมักจะเป็นฝ่ายต้องการให้คู่รักของคุณเป็นฝ่ายเปลี่ยนแปลงตัวเองมากกว่าที่คุณจะยอมเป็นฝ่ายเปลี่ยนแปลง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม อย่างไรเสียเวลาที่คุณรักใครสักคนคุณก็ทุ่มเทแบบสุด ๆ เหมือนกันนะ